3 ปีที่โควิดระบาด โควิดสอนอะไรกับเราบ้าง ?
โควิดระบาดเข้าปีที่ 3 แล้ว การระบาดก็ยังไม่ได้หยุดลงแต่อย่างใด มีตัวเลขผู้ติดเชื้อและจำนวนคนเสียชีวิตจากการติดเชื้อจำนวนมากมายทั่วโลก นับจากปี 2019 จนถึงปี 2022 ใครจะคิดว่า วันเวลานานขนาดนี้ โควิดได้สอนอะไรเราหลายอย่างมาก มาดูกันดีกว่า โควิดสอนอะไรกับเราบ้าง กับ 5 สิ่งที่ได้จากการระบาดของโควิด กับวิถีชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงแบบถาวร
1. โควิดสอนให้รู้ว่าจะมีทรัพย์สินเงินทอง มีอะไรมากมายมหาศาล ก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการมีสุขภาพที่ดี หลายคนต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู หายใจไม่ได้ หลังจากติดเชื้อ หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และหลายคนต้องจากไปก่อนเวลาอันควรจากการติดเชื้อที่ผสมกับการมีโรคประจำตัว แม้แต่วัคซีนเทพๆก็ไม่อาจช่วยเรื่องการติดเชื้อได้ แม้ฉีดวัคซีนหลายเข็มก็ฉีดเชื้อได้ตลอด
การะบาดของโควิดเป็นไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง และยาวนานมาก เชื้อมีการกลายพันธุ์โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาจนการพัฒนาวัคซีนไปทันต่อเหตุกรณ์จริง มันแสดงให้เห็นว่า การมีสุขภาพดีมันสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์จริงๆ ดังนั้น ผมจะไม่ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตในการหาเงินให้มากพอ แต่จะใช้ชีวิตที่เหลือในการทำให้ตัวเองมีสุขภาพกายและใจที่ดีมากกว่า เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
2. โควิดสอนให้เข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยสอน สอนให้รู้จักพึ่งพาตนเอง มีความพอเพียงในการใช้ชีวิต อย่าไปพึ่งพาใครให้มากมาย สิ่งพวกนี้เป็นเรื่องจริงเสมอ เพราะในยามนี้ ทุกคนบนโลกก็เดือดร้อนเหมือนกันหมด หลายคนตกงาน ไม่มีงานทำ โดนลดเงินเดือน แถมบางอาชีพก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปทำงานเหมือนเดิมอีกแล้ว เนื่องจากอาชีพนั้นหายไปเลยอย่างถาวร (Disruption) ดังนั้น ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น โดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้
และทำให้เข้าใจความจริงข้อหนึ่งด้วยว่า รัฐบาลไหนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้ เพราะรัฐบาลเองก็มีภาระช่วยเหลือในภาพใหญ่ตามสมควรที่ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการช่วยเรื่องค่าครองชีพผ่านโครงการต่างๆและการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ส่วนในภาพเล็กหรือที่เรียกว่า จุลภาค หรือภาคครัวเรือนนั้น เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน เราต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น อย่าไปโทษคนอื่น อย่าไปโทษรัฐบาล ให้โทษที่ความสามารถตัวเองที่ไม่ปรับตัว
ผมอ่านข่าวและให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองลดลงมากจนไม่สนใจข่าวการเมืองอีกเลย แต่สนใจเรื่องเศรษฐกิจปากท้องมากขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญกว่า แล้วก็ไม่เสียเวลากับการโทษนู่นโทษนี่ ไม่โทษรัฐบาล แต่ใช้เวลาในการดิ้นรนให้อยู่รอดด้วยตัวเอง วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปคือการใช้เงินอย่างประหยัด ไม่เป็นหนี้เป็นสิน ไม่ใช้ของฟุ่มเฟือยเกินฐานะ ให้มีชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ภูมิใจ และรักตัวเองอย่างที่เป็นจริง ส่วนธุรกิจที่ซบเซา ก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเองให้รอดก่อน ธุรกิจจะเจ๊งไม่เกี่ยวกับเรา
3. มนุษย์ที่ชอบอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด ชอบสัมผัสกันทางกาย โควิดสอนว่าการทำเช่นนั้นเป็นอันตราย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไม่สะอาด โดยเฉพาะการทักทายแบบตะวันตกที่มีการหอม กอด และสัมผัสทางกาย ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย การเว้นระยะห่างทำให้คนเราห่างกันมากขึ้นก็จริง แต่คนก็เริ่มใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวเป็น อยู่ห่างกันมากขึ้น และจะปรับตัวได้ในที่สุด ส่วนคนที่ปรับตัวไม่ได้หรือไม่ปรับตัวอะไร ก็ต้องตายจากไปในที่สุด ในอนาคตผมคาดว่า คนจะใช้ชีวิตแบบห่างกันแบบนี้จนกลายเป็นภาพปกติชินตา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนจะค่อยๆเลือนหายไป คนที่มีนิสัยชอบอยู่คนเดียว จะชอบการใช้ชีวิตแบบนี้มาก และไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แต่คนที่ชอบเข้าสังคมจะต้องปรับตัวอย่างหนักทีเดียวกับการใช้ชีวิตในโลกอนาคต เพราะคนในยุคนี้ สนใจมือถือสมาร์ทโฟนมากกว่าการใช้ชีวิตอยู่กับคนด้วยกันเสียอีก
4. โควิดสอนให้เราเป็นคนสะอาด ไม่มักง่าย สำรวมกาย วาจา ใจ มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกเมื่อ ทำให้การรับประทานอาหาร การกินอยู่หลับนอน มีความเป็นระเบียบขึ้นกว่าเดิม รักษาสุขภาพมากกว่าเดิม เข้าห้องน้ำ ล้างมือวันละเป็นสิบๆรอบ ใช้แอลกอฮอล์เจลจนเป็นนิสัย แถมใช้หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน ทำให้ป่วยน้อยลงกว่าเดิม ผมคิดว่า แม้หลังโควิดระบาดจะจบไป ผมก็ยังจะต้องใช้หน้ากากอนามัยแบบนี้ตลอดไป หรืออาจจะตลอดชีวิต เพราะหน้ากากอนามัยได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของผมไปเสียแล้ว
5. โควิดสอนให้อยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่เล่นการพนัน ไม่ติดวงเหล้า ไม่สูบบุหรี่หรือเสพยาเสพติด โควิดไม่ชอบสิ่งที่เป็นอบายมุขแบบนี้ ดังนั้น ธุรกิจเที่ยวกลางคืนในอนาคตจะลดลงไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคนจะเอาใจใส่ตัวเองมากขึ้นมาก คนจะกินเหล้าลดลง สังสรรค์น้อยลง ธุรกิจกลางคืนจะซบเซาอย่างยาวนาน รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวด้วย ที่จะซบเซายาวนานแน่นอน เนื่องจาก หลายประเทศไม่สนับสนุนให้คนออกมาเที่ยวต่างประเทศ ให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น เที่ยวแค่ในประเทศตัวเอง นอกจากนั้น ภาวะเงินเฟ้อ ภาวะคนตกงาน และการไม่มีรายได้ของคนทั่วโลก ทำให้การท่องเที่ยวในอนาคตจะเปลี่ยนภาพไปมาก อย่าหวังการท่องเที่ยวจะเหมือนเดิมอีกต่อไป รวมไปถึงอาชีพเก่าที่จะหายไปตลอดกาล ทำให้คนไม่กล้าใช้ชีวิตหลงในความประมาทเหมือนเดิม