โจโจ้ซัง เกอิชา หัวใจ "รักแท้"
"ตายเสียดีกว่า..ที่จะอยู่อย่างไร้เกียรติ" เป็นคำกล่าวที่สลักอยู่บนใบมีดเล่มหนึ่ง จากนั้นก็ทำการแทงลำคอตัวเองสิ้นใจตายอย่างเดียวดาย เธอคือหญิงสาวญี่ปุ่นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อ "รักแท้" เพื่อรอคอยคนรัก ที่สัญญาว่าจะกลับมารับเธอกับลูกไปอยู่ด้วยกัน แต่ทว่าความรักความภักดีความซื่อสัตย์..มันกลับไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ความรักของ "โจโจ้ซัง" เกอิชาสาวชาวญี่ปุ่นนั้น เป็นนิยายที่เขียนขึ้นจากปลายปากกาของ "John Luther Long" ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารเซนจูรี่ในปี ค.ศ. 1897 จนอีก 3 ปีต่อมาจึงถูกนำไปสร้างเป็นละครเวทีในนิวยอร์คในชื่อว่า "มาดามบัตเตอร์ฟลาย" (Madame Butterfly)
Portrait_of_John_Luther_Long By Wikimedia Commons
โจโจ้ซังเป็นใคร ?
เธอเป็นสาวชาวญี่ปุ่นและเป็นบุตรสาวของนักรบญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่เทิดทูนศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตหลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของเธอทนมีชีวิตอย่างผู้แพ้ไม่ได้ จึงได้ทำ "ฮาราคีรี" (การคว้านท้องเป็นการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นในอดีต) ซึ่งฮาระแปลว่า "ท้อง" คิริ แปลว่า "ตัด" ถ้ารวมๆความหมายก็คือ "ตัดท้อง" นั่นเอง
เอาล่ะมาเข้าเรื่องของเธอต่อดีกว่า...
ดังนั้นเมื่อพ่อเธอฆ่าตัวตายไปแล้ว เธอจึงต้องกำพร้าในวัยเพียง 15 ปีต้องเผชิญโลกเพียงลำพัง เธอจึงต้องมาเป็น "เกอิชา" เพื่อหาเลี้ยงตัวเองในที่สุด
จุดเริ่มต้นของการพบรักนายทหารเรืออเมริกัน
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) พอสงครามโลกสงบลง "นาวาโทเบนจามิน แฟรงคลิน พิงเคอร์ตัน" เป็นนายทหารเรือชาวอเมริกัน ก็ถูกส่งมาประจำการที่เมืองนางาซากิในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นตามประสาผู้ชายมาคนเดียวแถมต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานๆ มันก็ต้องเหงาเป็นธรรมดา ก็ต้องอยากหาผู้หญิงสักคนมาปรนนิบัติ
โดยติดต่อผ่านพ่อสื่อชื่อ "โกโร" นายคนนี้ก็อยากจะเอาใจนาวาโทพิงเคอร์ตันจนเนื้อเต้นอยู่แล้ว จึงพยายามเฟ้นหาผู้หญิงที่สวยที่สุดและมีคุณสมบัติเพียบพร้อมให้ แต่สาวชาวบ้านทั่วไปกลับไม่มีใครอยากแต่งงานกับคนอเมริกันเลย โกโรจึงพุ่งเป้าไปหาโจโจ้ซัง เกอิชาคนดังแห่งนางาซากิแทน ซึ่งเธอนุ่มนวลอ่อนหวานเป็นที่หลงใหลของชายทุกคนจึงได้รับฉายาว่า "มาดามบัตเตอร์ฟลาย"
การตัดสินใจแต่งงานของโจโจ้ซัง
เธอตัดสินใจที่จะแต่งงานกับนาวาโทพิงเคอร์ตันและตั้งใจจะเป็นภรรยาที่ดีของเขา เธอจึงต้องยอมนับถือศาสนาคริสต์ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอจะขอติดตามสามีชาวอเมริกันและไม่หวนกลับมาเป็นชาวญี่ปุ่นตลอดกาล
แต่สามีไม่ได้คิดแบบเธอ
เพราะในความภักดีของเธอมันทำให้ "ชาร์พเลส กงสุลอเมริกัน" หนักใจเนื่องจากท่านกงสุลอยู่ญี่ปุ่นมานาน ก็พอจะเข้าใจความคิดของผู้หญิงญี่ปุ่น เพราะนาวาโทพิงเคอร์ตันมองเธอเป็น..
"เพียงดอกไม้ริมทางที่มีไว้เด็ดดมเล่นเท่านั้น"
เมื่อท่านกงสุลถาม
เขาก็ตอบว่า.."ความน่ารักน่าหลงใหลของเธอเปรียบเสมือนผีเสื้อปีกบาง ที่ผมจะต้องไล่ตามจับมาให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการทำลายปีกของมันก็ตามที"
แถมทิ้งท้ายว่า "และขอดื่มให้กับเจ้าสาวอเมริกันที่ผมจะมีในวันข้างหน้าด้วย"
และต่างก็ดื่มฉลองให้กับการแต่งงานกันความคิดเช่นนี้ของสามีที่เจ้าเล่ห์ ไม่ได้ทำให้เธอเฉลียวใจเลยว่า..สิ่งที่เขาพูดมันหมายถึงอะไร เธอก็ยังคงเฝ้าปรนนิบัติสามีด้วยความซื่อสัตย์และภักดีต่อไปเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้
นาวาโทพิงเคอร์ตันถูกเรียกตัวกลับอเมริกา
คำพรอดรักหวานๆจากสามีทำให้เธอหลงเชื่อจนหมดใจ จนชีวิตคู่ที่แสนสุขดำเนินไปจนเธอตั้งท้อง สามีก็ถูกเรียกตัวกลับอเมริกา แน่นอนเขาไม่ได้คิดจะพาเธอไปอเมริกาด้วย เพียงแต่แค่โกหกสัญญาว่า..จะกลับมารับเธอโดยเร็วที่สุด ด้วยคำพูดแสนหวานว่าไม่อยากจากเธอไปแม้แต่วันเดียว เธอก็ปักใจเชื่อสามีว่าคงอีกไม่นานก็คงจะกลับมารับเธอกับลูกในท้องไปอยู่ที่อเมริกาในภายหลัง
การรอคอยที่ไม่มีจุดหมาย
เธอเฝ้ามองเรือรบ "อัลบราฮัม ลินคอล์น" พาสามีสุดที่รักจากไปด้วยน้ำตานองหน้า และเธอก็รู้ดีว่าชีวิตของเธอในญี่ปุ่นหลังจากสามีไป จะไม่มีวันสงบสวยงามอีกต่อไป เพราะนับตั้งแต่เธอได้เปลี่ยนศาสนา เธอก็ต้องถูกเพื่อนบ้าน, ญาติพี่น้องรุมประณาม และตัดขาดในฐานะคนทรยศต่อสายเลือดบูชิโด
เธอเฝ้ารอการกลับมาของสามีนานถึง 3 ปีเต็ม เงินทองที่มีก็เริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆแทบจะเอาตัวไปไม่รอด เพราะความซื่อสัตย์ยึดมั่นในความภักดีต่อสามี เธอจึงไม่ยอมกลับไปทำงานเป็นเกอิชาตามเดิม วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานเธอก็ถูกชาวบ้านนินทาโจษจันด้วยความสะใจที่เธอถูกสามีชาติศัตรูทิ้งขว้างไปแล้ว
ความภักดีต่อสามี..แม้จะตกต่ำก็ไม่ขอกลับไปเป็นเกอิชาอีก
แม้เธอจะตกต่ำแต่ก็ยังคงเป็นที่สนใจของผู้ชายที่อยากจะเชยชมเธอ แต่เธอก็ไม่ยอมจะไปทำงานเกอิชาเช่นเดิม แม้โกโรพ่อสื่อจะมาทาบทามเธอไปเป็นภรรยาของผู้ชายหลายคน แถมหนึ่งในนั้นก็มียศเป็นถึง "เจ้าชายยามาโดริ" เศรษฐีประจำเมืองนางาซากิ
แต่เธอก็ยืนกรานปฎิเสธเสียงแข็งว่าเธอมีสามีแล้ว แม้ว่าโกโรจะโน้มน้าวว่าตามกฎหมายญี่ปุ่นถ้าสามีทอดทิ้งไปอยู่คนละเมืองก็ถือว่าเป็นการ "หย่าร้าง" แล้วก็ตาม เธอก็ไม่ฟังยังยืนกรานว่าเธอไม่ใช่คนญี่ปุ่นอีกต่อไป แต่เป็นชาวอเมริกันตามสามี
การกลับมาของสามี..ที่มาทำลายความหวัง
เวลาต่อมานาวาโทพิงเคอร์ตันก็ส่งจดหมายถึงท่านกงสุลชาร์พเลสว่า..เขาได้แต่งงานใหม่แล้วกับผู้หญิงชาติเดียวกัน และกำลังจะกลับไปญี่ปุ่นเพื่อรับลูกชายที่เกิดกับโจโจ้ซังกลับไปอยู่อเมริกา แน่นอนท่านกงสุลฯ ไม่กล้าบอกความจริงกับเธอ มันเป็นการทำลายจิตใจเธออย่างมาก แต่สุดท้ายเธอก็รู้ความจริงทั้งหมดด้วยตนเอง เมื่อเรือรบอเมริกันแล่นมาถึงที่ญี่ปุ่น
เธอดีใจมากและคิดว่าสามีจะกลับมารับเธอกับลูกตามสัญญาที่ให้ไว้เธอเฝ้ารอสามีตลอดคืน แต่เขาก็ไม่พบเธอกับลูกน้อยเลย พอในวันที่ 2 ท่านกงสุลฯก็มาพร้อมกับผู้หญิงชาวอเมริกันนามว่า "เคท" และได้แนะนำว่าเป็นภรรยาชาวอเมริกันของนาวาโทพิงเคอร์ตัน
การปรากฎตัวของเคทนั้นทำลายความหวังของเธอจนแทบไม่เหลือชิ้นดี..เหมือนโลกทั้งใบพลิกคว่ำ..มันไม่มีอะไรเป็นความจริงอีกต่อไปแล้ว
นาวาโทพิงเคอร์ตันไม่คิดว่าโจโจ้ซังจะซื่อสัตย์และภักดีกับเขามากมายขนาดนี้ พอได้ฟังเรื่องราวความลำบากของเธอจากท่านกงสุลฯ เขาก็รู้สึกผิดกับเธอเป็นอย่างมาก จนไม่กล้าไปสู้หน้าเธออีกเลยแต่การยิ่งหลบหน้าของเขา มันยิ่งทำให้เหมือนเป็นการซ้ำเติมเธอให้ปวดร้าวหนักยิ่งขึ้นไปอีก
จุดจบของเธอที่น่าสงสาร
เธอได้ประจักษ์แล้วว่า.."ความรักความภักดีที่เธอมีให้..มันไม่มีค่าอะไรเลย" สำหรับสามี เขามองเธอเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง ที่ไม่ได้คิดจะยกย่องเชิดชูให้เป็นชีวิตคู่ของเขาอยู่แล้ว ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเธอ..เธอจึงไม่ปริปากอ้อนวอนเคทภรรยาอเมริกันแม้แต่คำเดียว
เธอขอเพียงให้เคทรับปากว่าจะเลี้ยงดูลูกชายของเธอเหมือนเป็นลูกของตัวเองก็พอ เมื่อเคทรับปากกับเธอ..เธอก็บอกให้เคทกลับมารับลูกชายในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า จากนั้นเธอก็ดึงลูกชายมากอดร้องไห้ร่ำลาสั่งเสียอย่างขมขื่น
เมื่อลูกชายเธอถูกรับตัวไปจนลับตาแล้ว เธอก็เข้าไปในห้องพระคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าพระพุทธรูปก่อนจะหยิบมีดที่พ่อเธอเคยใช้ทำฮาราคีรีออกมา ซึ่งบนใบมีดนั้นได้สลักคำจารึกว่า.."การตายอย่างมีเกียรติดีกว่า..ที่จะอยู่ต่อไปอย่างไร้เกียรติ"
เธอจูบรอยสลักบนมีดนั้นอย่างเทิดทูน ก่อนที่จะแทงปลายมีดลงที่ลำคอเพื่อจบชีวิต..จากความรักที่งมงายของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ซึ่งอดีตเคยเป็นเกอิชาแห่งนางาซากิจนสิ้นใจตายอย่างเดียวดาย
ขอบคุณภาพจาก : กูลเกิ้ล, วิกิพีเดียร์