"Genzo Kurita" จากเด็กที่มักชอบฉี่รดที่นอน..กลายมาเป็นฆาตกรข่มขืน
จากเด็กที่ชอบฉี่รดที่นอน กลายมาเป็นฆาตกรข่มขืนสุดสะพรึงของญี่ปุ่น นามของเขาคือ "เก็นโซ คุริตะ" เกิดในครอบครัวยากจนและขาดความอบอุ่น เขามีพฤติกรรมชอบฉี่รดที่นอนตั้งแต่เด็กยันเป็นหนุ่ม งั้นเรามาย้อนรอยอดีตของฆาตกรคนนี้กัน
ประวัติในวัยเด็ก
"เก็นโซ คุริตะ" (Genzo Kurita) เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2469 เริ่มต้นในยุคสมัยโชวะ เป็นปีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ พระอัยกาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์เป็นปีแรก ในตอนนั้นญี่ปุ่นกำลังเจริญก้าวหน้าทางด้านกองทัพทหารเป็นมหาอำนาจของโลกก็ว่าได้
เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 12 คน พ่อเป็นชาวประมงแต่สุขภาพไม่ดีต้องหยุดหาปลา ภาระเลยตกเป็นของแม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อทุกคนในบ้านแทน เขาจึงเป็นเด็กขาดความอบอุ่น ไม่ได้รับความรักเท่าที่ควรจนกลายเป็นแผลในใจของเขาจึงส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างมากจนสะท้อนผ่านการ "ฉี่รดที่นอน"
ปัญหาฉี่รดที่นอนของเขา
"เอฟบีไอ" สหรัฐอเมริการะบุว่า ฆาตกรต่อเนื่องหลายคนมักมีปมในใจในวัยเด็กมันเลยสะท้อนผ่านพฤติกรรมควบคุมตัวเองไม่ได้ จิตใจที่บิดเบี้ยวส่งผลให้เขาแม้กระทั้งจะอดกลั้นการปัสสาวะก็ยังทำได้แย่ ในขณะที่คนอื่นๆสามารถเรียนรู้และเลิกพฤติกรรมฉี่รดที่นอนได้ตั้งแต่วัยเด็ก แต่เขากลับฉี่รดที่นอนตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่เป็นประจำ
ทำให้ชีวิตในวัยเรียนชั้นประถมเขาก็ยังควบคุมปัสสาวะไม่ได้ ทำให้กลายเป็นที่หมายปองของเด็กเกเรที่มักจะชอบกลั่นแกล้งเขาเป็นประจำ เพราะทุกคนมักล้อเขาว่ากลิ่นตัวของเขาเหม็นฉี่อยู่เสมอ พอโดนเพื่อนๆแกล้งหนักขึ้นเขาก็ลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้น ป.3 และไปทำงานเป็นเกษตรกรให้กับครอบครัวที่รวยในวัยเพียง 9 ขวบเท่านั้น
เข้าสู่กองทัพบก
แม้ว่าเขาจะมีปัญหาฉี่รดที่นอนแต่เขาทำงานกับครอบครัวนี้ยาวนานถึง 10 ปี พออายุ 19 ปี ก็ถูกเกณฑ์ไปรับราชการทหารในสังกัดกองร้อยทหารราบที่ 31 ในช่วงนั้นคือสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่กองทัพก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่แล้วช่วงท้ายๆของสงครามก็พ่ายแพ้ย่อยยับ คนหนุ่มที่ไปเป็นทหารก็ตายกันเป็นจำนวนมาก เขาถูกฝึกทหารแค่ 2 เดือนก็ถูกปลดออกทันที เพราะกองทัพไม่เอาเนื่องจากเขามีนิสัยฉี่รดที่นอนนั่นเอง
เริ่มทำงานเหมืองถ่านหิน
เขาเดินทางไปเมืองฮอกไกโด และได้เข้าทำงานที่เหมืองถ่านหิน เป็นงานที่หนักและเหนื่อยซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากจะทำ ดังนั้นคนที่ทำงานแบบนี้จึงเป็นคนลุยๆและมักใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่มีใครกลัวใคร มันจึงเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาเป็นชายหนุ่มฉกรรจ์ สุดบึกบึนบ่มเพาะความรุนแรงในตัวขึ้นมาอย่างน่ากลัว และที่นี้ก็ทำให้เขาหายจากการฉี่รดที่นอนเป็นปลิดทิ้ง
เริ่มลักขโมย
ช่วงนั้นญี่ปุ่นแพ้สงครามทำให้บ้านเมืองบอบช้ำ ความยากจนก็ปกคลุมไปทั่วอาหารขาดแคลน เขาเริ่มเข้าร่วมใน "ตลาดมืด" เบื้องหน้าทำงานบริษัทข้าว แต่เบื้องหลังคือการลักข้าวไปขายในตลาดมืดในราคาที่สูง หากินกับธุรกิจผิดกฎหมาย จนเขาโดนจับได้ข้อหาลักขโมยบ่อยๆต้องเข้าคุกเป็นประจำ ดังนั้นคุกเลยไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับเขา
The black market in Japan (Wikimedia Commons)
เริ่มการฆ่าคน
เหยื่อคนที่ 1 และ เหยื่อคนที่ 2...ที่เขาฆ่าคือหญิงสาวคนรักของเขาเองทั้ง 2 คน โดยเกิดจากรักสามเส้า ที่เกิดจากการที่เขาแอบขโมยสินค้าไปขายให้กับแก๊งอาชญากรรม จนมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวอีกคน และทั้ง 2 สองก็บังคับเขาให้แต่งงาน เขาจึงเกิดความรำคาญฆ่ารัดคอทิ้งเป็นศพแรก พออีกคนรู้เรื่องก็อ้อนวอนบอกให้เขามอบตัวกับตำรวจซะ และเขาก็ฆ่าเธอไปอีกศพและอำพรางคดีศพ นี่เลยเป็นจุดเริ่มต้นความสุขที่เขาเพิ่งค้นพบว่า..การฆ่าคนมันช่างอิ่มเอมใจ
ก่อกำเกิดปีศาจในตัวเขา
เหยื่อคนที่ 3 เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2494 เขาร่อนเร่ไปทั่วประเทศ และแอบขโมยของบ้านคนรวยเพื่อนำไปขาย เขาขึ้นบ้านหลังหนึ่งและพบหญิงสาววัยเพียง 24 ปีหลับอยู่ข้างเด็กทารก เขาก็ข่มขืนเธอทันทีและก็รัดคอฆ่าเธอและปล่อยให้ศพนอนอยู่ข้างเด็กทารก และก็รื้อค้นทรัพย์สินหลบหนีไป
เหยื่อคนที่ 4,5,6 เกิดขึ้นในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2494 ในจังหวัดชิบะเป็นการฆ่าที่สะเทือนที่สุด เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งเดินทางด้วยรถไฟเพื่อตามหาสามีกับลูกอีก 3 คน เวลานั้นมืดค่ำแล้วเขาจึงแกล้งเข้าไปสอบถาม และกล่าวว่ากลางคืนมันอันตรายเขาจะอาสาไปส่งที่บ้าน เขาหลอกหญิงสาวไปที่หน้าผา "โอเซ็นโคโรกาชิ" แล้วเขาก็ผลักลูกชายและลูกสาวของเธอตกหน้าผาไปก่อน จากนั้นก็กระชากเด็กทารกจากอ้อมอกเธอ และข่มขืนเธอจนสาแก่ใจแล้วก็โยนร่างของเธอและทารกร่วงจากหน้าผาไปพร้อมๆกัน
เขาลงไปดูอีกรอบว่าทุกคนตายหมดหรือยัง แต่ว่าทุกคนยังหายใจรวยรินเขาจึงใช้ก้อนหิวทุบหัวแม่ ทารก และลูกชายคนโตจนตายและหลบหนีไป แต่ดันลืมเด็กหญิงที่รอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิดเพราะเด็กผู้หญิงไม่ได้ตกลงพื้นข้างล่าง แค่ได้รับบาดเจ็บศีรษะแตกแต่ยังหายใจอยู่ เด็กผู้หญิงจึงซ่อนตัวในพงหญ้าและเห็นเหตุการณ์ที่เขาเอาหินทุบหัวแม่และพี่ชายและทารกอย่างโหดเหี้ยม เด็กหญิงเลยพาร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสไปหาตำรวจและได้รักษาตัวที่โรงพยาบาลและได้เป็นพยานปากเอกในคดีนี้
Osen-Korogashi in Chiba Prefecture
เหยื่อคนที่ 7 ผ่านไป 3 เดือนจากเหตุการณ์ที่หน้าผาสุดโหด ก็เป็นรายคุณป้าวัย 63 ปี โดนจับมัดและข่มขืนและฆ่าทิ้งอย่าทารุณ คุณป้าโดนแทงกระหน่ำหลายแผล
เหยื่อคนที่ 8 คือหลานสาววัย 24 ปีของคุณป้า ก็ถูกข่มขืนและถูกรัดคอจนตาย บ้านถูกรื้อค้นทรัพย์สินและตำรวจเจอมีดของกลาง ก็เลยนำไปตรวจลายนิ้วมือก็พบว่าเป็นของเขา จึงได้ประกาศออกหมายจับไปทั่วประเทศ
ถูกจับหนีไม่รอด
สุดท้ายเขาก็หนีไม่รอดถูกจับตัวได้สำเร็จ ตอนแรกเขาปฎิเสธไม่ได้ฆ่าป้าหลานคู่นี้ แต่สุดท้ายก็ยอมรับสารภาพและได้บอกว่าฆ่าเหยื่อไปทั้งหมด 8 รายด้วยกัน ที่เขายอมรับสารภาพก็หวังว่าจะได้ลดโทษ แม้สังคมจะโต้เถียงกันว่าสมควรจะประหารชีวิตหรือไม่ ? แต่ในกรณีของเขาสังคมพร้อมใจกันเห็นด้วยว่านี่คือมนุษย์ที่ควรจะกำจัดออกไปอย่าให้มีชีวิตอยู่ต่ออีก เขาจึงถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2502 โดยการแขวนคอตายในช่วงอายุ 32 ปี
ซึ่งเมื่อเขารู้ว่าต้องถูกโทษประหารชีวิต ความแข็งแกร่งในจิตใจที่เคยมีมาก็สลายหายไปในพริบตา กลับกลายเป็นคนอ่อนแอหมดสภาพไปในทันที และเขาได้แต่คร่ำครวญพร่ำเพ้อพูดประโยคซ้ำๆในเรือนจำว่า..
"ช่วยผมด้วย ใครก็ได้ช่วยผมที ผมยังไม่อยากตาย..ช่วยด้วยๆๆๆ ผมยังไม่อยากตาย"
ขอบคุณภาพจาก : google, wikipedia