"Rosemary Kennedy" ผู้หญิงที่น่าสงสารที่สุดใน "ตระกูลเคนเนดี้"
ในกระทู้นี้เราจะมาพูดถึง "ตระกูลเคนเนดี้" ผู้หญิงคนหนึ่งในบรรดาพี่น้องที่น่าสงสาร นั่นก็คือ "Rosemary Kennedy" เธออยู่ในตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดตระกูลหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้
ซึ่งประธานาธิบดี "John F. Kennedy" ก็มาจากตระกูลนี้ รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆด้วย ที่ล้วนแต่ประสบความสำเร็จ และมีหน้ามีตาในสังคมพร้อมกับความร่ำรวยเงินทอง ดังนั้นสื่อมวลชนจึงฉายาให้กับตระกูลนี้ว่า "America's royal family" หรือ "ราชวงศ์แห่งอเมริกา"
ชาติกำเนิด
"โรสแมรี เคนเนดี้" (Rosemary Kennedy) เธอเกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) Brookline, แมสซาชูเซตส์, อเมริกา โดยเป็นลูกของ "โจเซฟ พี. เคนเนดี้ ซีเนียร์" (Joseph P. Kennedy Sr) และ "โรส เคนเนดี้" (Rose Kennedy)
โดยเป็นลูกคนที่ 3 และถือเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว จากพี่น้องทั้งหมด 9 คน ซึ่งพี่ชายคนโตคือ "โจเซฟ แพทริก เคนเนดี จูเนียร์" (Joseph Patrick Kennedy Jr.) และพี่ชายคนรองคือ "จอห์น เอฟ. เคนเนดี้" (John F. Kennedy)
การทำคลอดที่ผิดพลาด
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เธอกำลังจะคลอด แต่หมอผู้ที่ทำคลอดนั้นมาช้าไม่ทันกำหนดคลอด จึงทำให้นางพยาบาลต้องตัดสินใจทำคลอดแทน และด้วยความที่อาจจะไม่ได้ชำนาญมากพอเท่ากับหมอ จึงส่งผลให้สมองของเธอขาดออกซิเจน สมองบางส่วนจึงถูกทำลายและทำให้เธอผิดปกติในเวลาต่อมา
ชีวิตวัยเด็ก
เธอเป็นเด็กขี้โรคและมักจะเป็นลมอยู่บ่อยๆ เธอมี I.Q. อยู่ประมาณ 60-70 ซึ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็มีอายุสมองเท่ากับเด็กอายุ 8-12 ปี ซึ่งในยุคนั้นคนที่มีความผิดปกติอย่างเธอจึงเป็นเรื่องที่ไม่เปิดเผยกัน แต่แม่ของเธอทำเสมือนว่าเธอเป็นเด็กปกติ ทำให้บุคคลภายนอกไม่รู้สภาพที่แท้จริงของเธอเลยจึงทำให้ครอบครัวต้องปิดบังไว้เป็นความลับ เธอจึงแตกต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ จึงทำให้เธอต้องออกจากโรงเรียน พ่อแม่จึงต้องจ้างอาจารย์มาสอนถึงบ้านก่อนที่จะส่งเธอไปเข้าโรงเรียนประจำในภายหลัง
ครอบครัวปิดบังอาการป่วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) ผู้เป็นพ่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูต จึงต้องเดินทางไประเทศอังกฤษ ซึ่งว่าเป็นเกียรติอย่างมากแก่ครอบครัวเคนเนดี้ จึงต้องหาทางปิดบังอาการป่วยของเธออย่างที่กล่าวมาข้างต้น เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของครอบครัว เธอย้ายไปอังกฤษกับครอบครัว ก่อนจะถูกส่งไปเข้าโรงเรียนคอนแวนต์
พฤติกรรมชอบหนีเที่ยว
ทางแม่ชีที่โรงเรียนคอนแวนต์ก็รายงานว่า เธอมักจะหนีออกจากโรงเรียนเพื่อไปเตร็ดเตร่ตามบาร์ต่างๆ และมักออกไปกับผู้ชายแปลกหน้า โดยในขณะนั้นผู้เป็นพ่อก็กำลังยุ่งอยู่กับการเคี่ยวเข็ยบุตรชายคนโตทั้ง 2 คน เพื่อให้ลงการเมือง และชื่อเสียงของตระกูลเคนเนดี้ก็กำลังรุ่งโรจน์ ทำให้พ่อแม่กังวลว่าเธอจะทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวมัวหมอง
ชีวิตวัยสาว
ในวัย 20 ปี เธอจัดว่าสวยงดงามมากในหมู่สาวไฮโซฯ เธอก้าวหน้าขึ้นมากในด้านความสามารถในการใช้ภาษาและการเข้าสังคม ฯลฯ จนเป็นที่สนใจของชายหนุ่มในแวดวงไฮโซฯอังกฤษ แต่หลังจากพ่อของเธอกลับจากอังกฤษมาพำนักในวอชิงตัน ดี.ซี. สภาพร่างกายและจิตใจของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลง อารมณ์ของเธอแกว่งไปมาและก้าวร้าว ควบคุมพฤติกรรมยากขึ้น ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เชื่อว่ามาจากสมดุลของฮอร์โมนของวัยสาวเต็มที่ของเธอมากขึ้น
การรักษาเธอแบบ Lobotomy
ในยุคทศวรรษที่ 1930 มีการรักษาความผิดปกติทางจิตด้วยเทคนิคสมัยใหม่ของยุคนั้นที่มีชื่อว่า "Lobotomy" คิดค้นขึ้นโดยแพทย์ชาวโปรตุเกสชื่อ "Antonio Moniz" ในปี ค.ศ.1935 (โดยได้รับรางวัลโนเบิล ในปี ค.ศ. 1949) และในสหรัฐอเมริกานายแพทย์ "Walter Freeman" เป็นมือเอกผ่าตัดสมองเพื่อรักษาด้วยวิธี Lobotomy
มันเป็นการเจาะรูสมอง 2 รูจากด้านบน แล้วใช้ใบมีดสอดเข้าไปตัดเนื้อเยื่อสมอง และใช้ใบมีดผ่าไปเรื่อยๆ พร้อมกับให้คนไข้ท่องบทสวดมนต์และนับถอยหลัง เพื่อให้รู้ว่าจะผ่าตัดไปได้ไกลแค่ไหน เมื่อถึงจุดที่พูดไม่รู้เรื่องหมอก็จะหยุด
การผ่าตัด Lobotomy ล้มเหลว
ในกรณีของเธอในปี ค.ศ. 1941 นั้น การผ่าตัดแบบ Lobotomy ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะหลังจากผ่าตัดแล้วเธอพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ และมี I.Q. เท่ากับเด็กอายุ 2 ขวบ ซึ่งพ่อแม่ของเธอเป็นผู้อนุญาตให้หมอผ่าตัดเธอเอง โดยไม่ได้หารือกับภรรยา และต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่าเธอเป็นอะไรหลังจากการรักษา เพราะเกรงว่าจะทำให้ทำลายอนาคตทางการเมืองของลูกคนอื่นๆ ผู้เป็นพ่อเสียใจมากจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ที่ "ทำลาย" ชีวิตเธอให้เป็นแบบนี้
ในยุคนั้นการป่วย "โรคจิต" ถือเป็นเรื่องน่าอับอายของญาติพี่น้อง การมีสภาวะ "ปัญญาอ่อน" ยังเป็นเรื่องน่าอับอายน้อยกว่าสำหรับคนเป็นพ่อ ที่ยอมเป็นเหยื่อของการรักษาแบบ Lobotomy ที่ผิดพลาดจากการตัดสินใจของคนเป็นพ่อเอง เพราะการที่ตัดสินใจให้ผ่าตัดนั้น ก็เพราะพฤติกรรมของเธอเมื่อเป็นสาว ที่เธอหนีจากโรงเรียนกินนอนออกไปเที่ยวตอนกลางคืน ทำให้ควบคุมเธอได้น้อยลงทุกที จึงเกรงว่าจะเกิดเรื่องอื้อฉาวทางเพศจนบั้นทอนอนาคตทางการเมืองของลูกชายนั่นเอง
บันปลายชีวิตหลังผ่าตัด
ชีวิตเธอถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากที่ "จอห์น เอฟ. เคนเนดี้" ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี โดยให้ข่าวกันว่าเธอพิการ "ปัญญาอ่อน" แต่ก็ไม่เคยมีรูปของเธอให้เห็น ดังนั้นน้องสาวของเธอที่สนิทกันมากที่สุดคือ "Eunice Kennedy Shriver" จึงได้ใช้สิ่งที่เห็นจากชีวิตเธอเป็นแรงกระตุ้นการออกกฎหมายช่วยผู้พิการทางสมองหลายลักษณะ
ในช่วงที่พี่ชายได้เป็นประธานาธิบดี จนในปี ค.ศ. 1970 หลังการผ่าตัดแบบ Lobotomy กว่า 20 ปี พี่น้องก็มารับเธอกลับไปเที่ยวบ้านบ้าง นั้นเป็นผลดีที่เกิดขึ้นเพราะเธอสนุกและดีอกดีใจจนเธอพัฒนาขึ้นมากจนเดินได้แต่ยังคงพูดไม่ได้
เพราะในช่วงแรกที่เธอเป็นแบบนี้ พ่อได้ส่งเธอเข้าโรงพยาบาลที่สร้างเป็นพิเศษเพื่อให้เธออยู่ เธอใช้ชีวิตอยู่ในคลีนิกพิเศษเป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี จนเธอเสียชีวิตเมื่ออายุ 87 ปี เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ที่ Fort Memorial Hospital, Fort Atkinson, วิสคอนซิน, อเมริกา
ขอบคุณภาพต่างๆจาก : google and wikipedia