“I Will Survive” ที่มาของเพลงชาติ LGBTQ+ กับบาดแผลจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ถ้าพูดถึงเพลงที่ชาว LGBTQ+ จัดให้เป็นเพลงในดวงใจ หรือพูดกันได้ว่าเป็น "เพลงชาติเกย์" (Gay Anthem) คงจะมีอยู่หลายเพลงด้วยกัน ไม่ว่าจะ "Danching Queen" ของ ABBA ที่อยู่ในอันดับต้นๆ รองมาก็น่าจะเป็น "Village People" ของ YMCA ฯลฯ แต่คงไม่มีเพลงใดที่จะหลุดโพลและดังไปได้เลยนั่นก็คือ "I Will Survive" งั้นกระทู้นี้เรามาอ่านประวัติของเพลงนี้กันดีกว่า
เพลงนี้มีความหมายไปทางเพศที่สามไหม ?
จริงๆแล้วเพลงนี้แม้แต่ผู้ชายอกสามศอกก็ต้องเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง มันเป็นเพลงดิสโก้สุดคลาสสิกของศิลปินผิวสีชื่อ "กลอเรีย เกย์เนอร์" (Gloria Gaynor) ที่กลายเป็นเพลงประจำชาติของชาว LGBTQ+ ในเวลาต่อมา
แต่จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของเพลงนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพศที่สามแต่อย่างใด และก็เป็นเพลงที่ไม่ได้ถูกตัดเป็นซิงเกิลแต่แรกด้วยซ้ำไป เพลงถูกปล่อยเมื่อปี 1978 จนได้รับความนิยมล้นหลามจนคว้า "รางวัลสาขาดิสโก้ยอมเยี่ยม" (Best Disco Recording) จากเวที "Grammy Award ประจำปี 1980" ไปครอง
ประวัติของศิลปิน
"กลอเรีย เกย์เนอร์" เกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2486 ที่นวร์กในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แม่คือ "ควีนนี่ เมย์ พรอคเตอร์" พ่อคือ "ดาเนียล โฟว์เลส" คู่สมรสคือ "ลินวู้ด ไซมอน" มีพี่น้อง 6 คน เธอเติบโตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ปราศจากพ่อและญาติฝ่ายพ่อ เธอเลยไม่มีต้นแบบของผู้ชายที่ดีในชีวิต
Gloria Gaynor
ถูกลวนลามทางเพศแต่เด็ก
ตอนเธออายุ 5 ขวบครอบครัวก็ย้ายไปอยู่บ้านเช่า ร่วมกับครอบครัวสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ไม่มีลูก ทำให้เธอสนิทและไว้ใจเสมือนป้าและลุงแท้ๆ แต่แล้วฝ่ายชายก็ล่อลวงเธอหลอกเธอว่าจะพาไปกินคุกกี้ และพาเธอไปห้องนอนถอดกางเกงเธอออก และเริ่มลวนลามเธอ เธอไม่โอเคด้วยและขู่เขาว่าจะฟ้องแม่ เขาเลยไล่เธอลงไปข้างล่าง แต่เธอก็ไม่ได้ฟ้องแม่หรอก เพราะเธอรู้ว่าแม่เธอไม่ยอมคน แม่อาจจะฆ่าเขาได้ถ้าแม่ติดคุก ก็คงจะไม่มีใครเลี้ยงดูเธอกับพี่ๆน้องๆ
หลายปีต่อมา แม่เธอก็มีรักครั้งใหม่ เธอต้องใช้เวลาศึกษาดูใจแฟนใหม่ของแม่อยู่ปีกว่า กว่าจะยอมรับเขาเข้ามาในชีวิต และรักเขาเหมือนพ่อแท้ๆ แต่แล้วเหตุการณ์ก็เกิดซ้ำรอยกับเธออีก พ่อเลี้ยงบุกเข้ามาล่วงละเมิดทางเพศเธอขณะนอนหลับอยู่ในห้อง
เธอไล่เขาออกจากห้องไปแต่เธอก็ไม่ได้บอกกับผู้เป็นแม่ เธอไม่อยากจะทำลายความสุขของแม่ เพราะแม่เธออยู่คนเดียวและเหงามานานแล้ว เธอไม่อยากสร้างปัญหาให้แม่ จึงทำให้เธอเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง แม้ว่ามันจะสร้างบาดแผลในใจให้เธอก็ตาม
พอตอนอายุ 18 ปี ก็ถูกลูกพี่ลูกน้องของแฟนเก่าข่มขืน เธอรู้สึกละอายตัวเองเธอกับสิ่งที่เธอถูกกระทำย่ำยี ความรู้สึกเหล่านั้นยังคงติดแน่นฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ เธอไม่อาจจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังได้ เพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อน และไม่กล้าแม้แต่จะแจ้งความ
จุดเริ่มต้นของเพลงมาจากไหน
เพลงนี้เป็นเพลงแนวดิสโก้เต้นรำ แต่งโดย "เฟรดดี้ เพอร์เรน" (Freddie Perren) ร่วมกับ "ดีโน เฟคาริส" (Dino Fekaris) แม้ว่าเนื้อเพลงจะเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายทิ้งไป แต่เธอสามารถลุกขึ้นยืนหยัดมีชีวิตต่อไปได้
ที่มาของเพลงมาจากการที่นักแต่งเพลงฝีมือดีของ "โมทาวน์ เรคอร์ดส์" ตั้งแต่ปี 1969 นั้น ต้องตกงานเพราะถูกไล่ออกจากค่ายเพลง หลังจากที่เป็นนักแต่งเพลงมา 7 ปี จนเขาครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดีกับชีวิตดี
แต่จู่ๆก็ได้ยินเพลง "Generation" (ร้องโดยวง "Rare Earth") เพลงประกอบภาพยนตร์ Generation ที่เขาเคยแต่งไว้ลอยมาจากทีวี จึงเกิดแรงบันดาลใจและบอกกับตัวเองว่า..
"เอาละ ฉันจะทำให้ได้ ฉันจะเป็นนักแต่งเพลง ฉันจะต้องรอด" (I Will Survive)
แต่งเพลงเสร็จ..แต่ไม่มีคนร้อง
หลังจากที่แต่งเพลงเสร็จ แต่เพลงนี้ก็ยังไม่มีคนร้องอยู่ดี จนเฟรดดี้ถูกเรียกไปช่วยโปรดิวซ์เพลง "Substitute" (ต้นฉบับ คือ The Righteous Brothers) ซิงเกิลใหม่ และทั้ง 2 คนจึงเสนอให้กลอเรียร้องเพลงนี้และเธอก็ตอบตกลง
ซึ่งช่วงที่บันทึกเสียงเพลงนี้ กลอเรียยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บที่ตกจากเวทีคอนเสิร์ต จนต้องเข้าผ่าตัดกระดูกสันหลัง ต้องพักฟื้นนาน 3 เดือน แถมทางค่ายเพลงก็ไม่ต่อสัญญาให้เธอ โดยไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจน ตอนนั้นเธอท้อมากกลัวจะพิการและเส้นทางในวงการเพลงคงจะสิ้นสุดลง เธอภาวนาขอพรจากพระเจ้า และเหมือนพระเจ้าจะรับรู้คำขอของเธอ จึงได้ส่งเพลง "I Will Survive" มาให้เธอร้อง
เป็นเพลงหน้า B ไม่ใช่ซิงเกิลหลัก
เธอตั้งใจร้องเพลงนี้อย่างมาก เพราะช่วงเวลานั้นร่างกายเธอก็ยังไม่หายดี แถมเธอยังสูญเสียคุณแม่ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย เธอกล่าวว่า..
“ฉันใช้การจากไปของแม่ การผ่าตัดที่ฉันเพิ่งได้รับมา และความมุ่งมั่นในการทำงานของฉัน มาเป็นพลังในการอัดเพลงนี้ ฉันหวังว่ามันจะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนฟังได้”
ซึ่งทีมงานทุกคนต่างรู้ดีว่าเพลงนี้มันยอมเยี่ยมมาก สามารถตัดเป็นซิงเกิลได้เลยแต่ประธานค่ายเพลงยืนยันจะให้เพลง "Substitute" เป็นซิงเกิลหลัก จึงทำให้เพลง "I Will Survive" ถูกบรรจุอยู่ในหน้า B ของซิงเกิล "Substitute" นั่นเอง
พลิกล็อคเพลงประสบความสำเร็จ
เพลง "Substitute" ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ปี 1978 ขึ้นสูงสุดแค่อันดับที่ 107 ในสหรัฐอเมริกา จึงไม่ประสบความสำเร็จบนชาร์ตตามที่ประธานค่ายเพลงหวังไว้ แต่เพลงของเธอ "I Will Survive" ที่เป็นเพลงที่ทางค่ายไม่ได้โปรโมต แต่เหล่าดีเจตามไนต์คลับต่างๆพากกันเปิดเพลงนี้
และตามคลื่นวิทยุก็เปิดตาม ทำให้ค่ายเพลงเลยตัดสินใจตัดให้เพลง "I Will Survive" ขายเป็นซิงเกิล อยู่ในอัลบั้มที่ 6 ชื่อ "Love Tracks" จนในเดือนมีนาคม ปี 1979 เพลงนี้ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดได้สำเร็จ
ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดในสาขาบันทึกเสียงเพลงดิสโก้ยอดเยี่ยม (Grammy Award for Best Disco Recording) ในปี 1980 ภายใน 2 ปีเพลงนี้ก็มียอดขายทั่วโลกรวมกว่า 14 ล้านก๊อปปี้ ยังไม่รวมกับการคัฟเวอร์และบันทึกเสียงซ้ำอีกนับครั้งไม่ถ้วน
I Will Survive By Gloria Gaynor
ทำไม ? เพลงนี้จึงครองใจกลุ่ม LGBTQ+
"I Will Survive" ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเพลงชาร์ตที่ดังของกลุ่ม LGBTQ+ เนื่องจากตรงกับชีวิตของชาว LGBTQ+ ที่ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดให้ได้ในสังคม ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ ซึ่งในช่วงที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมา
เป็นช่วงที่ HIV และโรคเอดส์กำลังระบาด สังคมยังคงเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อ และตราหน้าว่าชาวเกย์เป็นผู้แพร่เชื้อ เพลงนี้จึงเป็นเหมือนการให้กำลังใจและตอบโจทย์กลุ่ม LGBTQ+ ได้อย่างดี
"นาดีน ฮับส์" (Nadine Hubbs) ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ได้เขียนบทความไว้ว่า...
"เพลงนี้มีเนื้อหาที่ทรงพลัง มันบอกว่าเราทุกคนล้วนเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตไว้ในมือของเราเอง และเราเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากเกิดเรื่องเลวร้ายในชีวิตของเรา"
จนปี 2016 หอสมุดรัฐสภา (Library of Congress) จัดให้เพลง “I Will Survive” ได้รับการขึ้นทะเบียนเสียงบันทึกแห่งชาติ (National Recording Registry)
เพลงนี้จึงสามารถนำมาใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัยในหลายบริบท เพื่อใช้เป็นเพลงปลุกใจในการก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้
And I’ll survive I will survive
และฉันจะต้องรอด ฉันต้องรอด!
ขอบคุณภาพต่างๆจาก : google, wikipedia