"พระถังซัมจั๋ง" พระภิกษุที่มุ่งมั่นด้วยใจแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนา
ใครชอบดูหนังจีนเรื่อง "ไซอิ๋ว" มั้ง ? ก็คงจะคุ้นกับหลวงจีนนามว่า "พระถังซัมจั๋ง" แน่นอน แม้แต่ผู้เขียนกระทู้ยังติดอกติดใจเลยดูตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทุกวันนี้ก็ยังดูอยู่นะเพราะหนังไซอิ๋วสมัยนี้ใช้ CG (Computer Generated) เข้ามาช่วยเลยทำให้ดูสนุกตื่นเต้นดี ตอนแรกนึกว่าหลวงจีนท่านนี้คงไม่มีจริงหรอก ซึ่งจริงๆแล้วหลวงจีนท่านนี้มีตัวตนจริงๆ
1.ประวัติของพระถังซัมจั๋ง
เดิมมีชื่อจริงว่า "ภิกษุเสวียนจั้ง" เป็นบุตรชายคนสุดท้องจากพี่น้อง 4 คน ตอนเกิดมาท่านใช้ชื่อว่า "เฉินหุย" หรือ "เฉินยี่" หรือก็มีชื่อเรียกขานต่างๆไม่ว่าจะ "เฮี่ยนจึง" บ้าง "ยวนฉาง" หรือ "ถังซัมจั๋ง" ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า "ถังซัมจั๋งฮวบซือ" แปลว่า "พระธรรมาจารย์" (ผู้แปลพระไตรปิฎกในสมัยราชวงศ์ถัง) เป็นคนมณฑลเหอหนาน มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 602-664 ตรงกับรัชสมัยของ "พระเจ้าถังไท่จง" (ฮ่องเต้องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ถัง)
ซึ่งอยู่ระหว่างคาบเกี่ยวในสมัยราชวงศ์สุยกับราชวงศ์ถัง ท่านเกิดในรัชสมัย "พระเจ้าสุยเหวินตี้" ที่นครลั่วหยาง อำเภอโกวซื่อ มณฑลเหอหนาน บิดาชื่อ "เฉินหุ้ย" เคยรับราชกาลเป็นนายอำเภอในสมัยต้นราชวงศ์สุย บรรพบุรุษของท่านล้วนแต่เป็นขุนนางในราชวงศ์ฮั่น ปู่ทวดชื่อ "เฉินซิน" ปู่ "เฉินคัง" เคยเป็นมหาอำมาตย์มาก่อน
2.เริ่มบวชเณร
พอสมัยปลายราชวงศ์สุยเสื่อมทราม พ่อของท่านก็ลาออกจากราชการมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ต่อมาพ่อก็เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 611 ท่านจึงได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชายที่บวชเป็นพระภิกษุที่ "วัดชิงตู" (Jingtu Monastery) ตั้งอยู่ในเมืองลั่วหยัง ทางทิศตะวันตกของมณฑลเหอหนาน
ช่วงชีวิตวัยเด็กเป็นเด็กเฉลียวฉลาดมาก ขยัน กระตือรือร้นในการอ่านตำราทางศาสนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำราเก่าแก่ของจีนหรือของนักปราชญ์โบราณของจีน อาศัยอยู่ในวัดนาน 5 ปี และศึกษาทางศาสนาพุทธแบบมหายาน พออายุ 11 ปี ก็สวดพระคัมภีร์ได้ พออายุ 13 ปีจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร พออายุ 18 ปี ก็เป็นสามเณรที่มีชื่อเสียงมากได้รับการยกย่องเป็น "อาจารย์แห่งพระไตรปิฎก" ทั้งแสดงธรรมได้เข้าใจง่าย
3.อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ในปี ค.ศ. 618 การเมืองจีนก็วุ่นวายเป็นช่วงเปลี่ยนจากรัชสมัยราชวงศ์สุยไปเป็นราชวงศ์ถัง เพราะราชวงศ์สุยล่มสลายลง ท่าน (สามเณร) และพี่ชาย (พระภิกษุ) ก็หนีไปอยู่เมืองเฉิงตู ในมณฑลเสฉวน ทำให้ท่านได้กราบไหว้พระภิกษุที่มีชื่อเสียงทั่วอาณาจักรจีน และพอในปี ค.ศ. 622 พออายุได้ 20 ปี ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่เมืองเฉิงตู และได้ศึกษาพระธรรมไปทั่ว จนไปถึงเมืองฉางอานของพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้องค์ที่ 2 ของราชวงศ์ถัง
4.แอบหนีไปอินเดีย
พอยิ่งเรียนรู้พระคัมภีร์มากเข้า ก็รู้ว่ายังไม่เพียงพอเพราะเนื้อหายังไม่ครบถ้วนและตีความไม่ถูกต้อง จึงเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเดินทางไปศึกษาพระธรรมที่อินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา แต่ช่วงนั้นบ้านเมืองยังวุ่นวายเป็นช่วงสงครามจากอิทธิพลของชนชาติเติร์กคุกคาม
จึงมีกฎห้ามไม่ให้คนจีนเดินทางออกนอกประเทศ ใครฝ่าฝืนกฎต้องโทษถึงประหารชีวิต แต่สำหรับท่านไม่กลัวและคิดว่า...
"อุปสรรคเท่านี้ไม่สามารถจะเปลี่ยนความตั้งใจของท่านได้"
จึงแอบหนีเพียงคนเดียวในตอนกลางคืน โดยไม่ขออนุญาตต่อทางการ ซึ่งเป็นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 629
5.ผ่านอุปสรรคต่างๆ
ในช่วงนั้นท่านอายุ 29 ปี การเดินทางไปอินเดียนั้นต้องผ่านอุปสรรคมากมาย จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ถ้าจะเล่าก็คงจะยาวมากก็ขอย่อๆละกันว่า อุปสรรคที่ต้องผ่านมาก็..
1. ทะเลทรายโกบี และระหว่างทางของทะเลทรายจะมีป้อมตรวจของทางการอยู่ ถ้าใครที่จะผ่านไม่มีใบอนุญาตก็จะถูกลูกธนูยิงให้ตายจากป้อมเหล่านี้ ท่านทำได้แค่หนีจนหลงทางในทะเลทราย ขาดทั้งน้ำและอาหาร ขณะที่ใกล้จะสิ้นลมในวันที่ 5 ซึ่งนอนจมอยู่กับทราย ก็ปรากฎชายร่างยักษ์มาบอกให้ท่านฝืนใจเดินไปตามทางที่บอก จึงทำให้ท่านพบกับโอเอซิสกลางทะเลทรายจึงทำให้ท่านรอดชีวิตต่อไปได้
2. ผ่านเทือกเขาเทียนซาน เดินทางไปเมืองทูร์ฟานซึ่งที่เมืองทูร์ฟานนี่เองที่ได้พบกับเจ้าเมืองที่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งอาหารความสะดวกและทุนในการเดินทางติดตัวด้วย
3. ผ่านดงโจร ที่ปล้นสะดม เดินทางผ่านตามวัดที่อาณาจักรคูชา ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่ถือเป็นเส้นทางสาขาของ "เส้นทางสายไหม"
4. ผ่านเมืองอักสู วกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือผ่านช่องเขาเทียนซานที่มีแต่หิมะและน้ำแข็ง จนเข้าเขตประเทศคีร์กีซสถาน
5. ผ่านทะเลสาบอิสซิก กูล (Issyk Kul) ที่อยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาเทียนซาน ท่านเดินทางเลียบทะเลสาบนี้ไปจนไปถึงเมืองต็อกมัก (Tokmak ปัจจุบันอยู่ในประเทศอุซเบกิสถาน)
6. มุ่งหน้าลงใต้ผ่านข้ามแหลมเทือกเขาพามีร์ (Pamirs) เดินทางไปแม่น้ำอาร์มู ดาร์ยา (Amu Darya) และเมืองเตเมซ (Termez)
7. เดินทางไปทางทิศตะวันอก ผ่านเมืองคุนดุซ (Kunduz) ปัจจุบันเป็นเมืองอยู่ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน
8. ผ่านเมืองบาคห์ (Balkh) แต่อดีตเมืองถูกทำลายลงเลยกลายเป็นเมืองเล็กๆไป
9. ผ่านเมืองบามยาน (Bamyan) ปัจจุบันอยู่ในอัฟกานิสถาน
10. ผ่านเมืองจาลาลาบัต (Jalalabad) และลาห์มาน (Laghman) และเดินทางมาถึงเมืองลาห์มานก็ถือว่าท่านได้มาถึงอินเดีย
6.ชีวิตในอินเดีย
หลังจากฝ่าอุปสรรคความทุรกันดารได้ ในปี ค.ศ. 757 พระถังซัมจั๋งเดินทางมาถึงอินเดีย และศึกษาพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยนาลันทาที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น และใช้เวลาศึกษาในมหาลัยฯถึง 5 ปี จนได้เป็นรองอธิการบดีของมหาลัยฯด้วย และได้บันทึกเกี่ยวกับดินแดนในเอาเชียกลางและเอเชียใต้ กว่า 138 แว่นแคว้น โดยมี 110 แว่นแคว้นที่ท่านเดินทางไปด้วยตเอง และอีก 28 แว่นแคว้นนั้นบันทึกจากคำบอกเล่าจากคนอื่น
7.นำพระไตรปิฎกกลับเมืองจีน
พอจบจากมหาลัยฯแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปยังที่ต่างๆทั่วอินเดีย แล้วจึงเดินทางกลับประเทศจีนพร้อมนำพระคัมภีร์กลับไปด้วยเป็นจำนวนมาก การเดินทางตั้งแต่ออกจากจีนและอยู่ในอินเดียรวมเป็นเวลา 17 ปี และรวมเป็นระยะทางกว่า 5 หมื่นลี้ พอถึงเมืองจีน ฮ่องเต้ "พระเจ้าถังไท่จง"
ก็ได้สร้างวัดฮ่งฮกยี่ถวายให้เป็นที่พำนัก พอพระเจ้าถังไท่สวรรคต ต่อมาก็พระเจ้าถังเกาขึ้นครองราชย์ ก็ได้ถวายพระราชวังเดิมสร้างเป็นวัดและให้ชื่อว่า "วัดไต้ชื่ออึงยี่" และใช้ชีวิต ณ พระอารามแห่งนี้แปลพระคัมภีร์ที่ได้มาจากอินเดียเป็นภาษาจีนรวมทั้งสิ้น 74 ปกรณ์
8.หนังสือที่เล่าถึงการเดินทาง
เรื่องราวการเดินทางของท่านถูกบันทึกและเรียกว่า "ต้าถังซีโหยวจี้" แปลว่า "จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง" เป็นการรวบรวมเรื่องร่างต่างๆ ไม่ว่าจะภูมิประเทศที่ได้พบเจอ สภาพผู้คน วัฒนธรรมที่หลากหลาย รวมถึงการทหารและการเมืองการปกครอง
จากทวีปอินเดียก็เดินทางกลับประเทศจีน และได้นำพระสูตรทั้งมหายานและเถรวาทกลับมาด้วยกว่า 600 ม้วน เพื่อแปลเป็นภาษาจีน ซึ่งในปัจจุบันพระไตรปิฎกฉบับแปลโดย "พระเสวียนจั้ง" (พระถังซัมจั๋ง) ก็ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในวงพุทธศาสนาของประเทศจีน
ภาพสวยต่างๆจาก google, wikipedia
เครดิตปกสวยจาก : หนังเรื่องไซอิ๋ว 3 ตอน ศึกราชาวานรตะลุยเมืองแม่ม่าย