รีวิวหนังดัง MISSION IMPOSSIBLE : DEAD RECKONING PART ONE มิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ล่าพิกัดมรณะ ตอนที่หนึ่ง
ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์ชื่อดังยุค 70 ชื่อของ MISSION IMPOSSIBLE ย่อมต้องคุ้นหูกันบ้าง ต่อมาก็มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1996 ภาคที่ 1 ของ MISSION IMPOSSIBLE ที่นำแสดงโดย Tom Cruise จึงเริ่มต้นขึ้น
Tom Cruise กลับมารับบบทเป็น อีธาน ฮันท์ ในภาคที่ 7 กับภารกิจระห่ำสุดท้าทายกว่าครั้งไหน และทุ่มเทสุดตัวเพื่อหนังภาคนี้ออกมาให้ดีที่สุด โดยเฉพาะฉากขี่มอเตอร์ไซค์เสี่ยงตายลงจากหน้าผา ก็เป็นฉากที่มีการโปรโมตออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลงานการกำกับของ Christopher McQuarrie
เรื่องย่อ
ปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อ Entity เข้ามาแทรกแซงคุกคามการปฏิบัติงานทุกอย่างที่แทรกผ่านอินเทอร์เน็ต โดยมีเกเบรียลเป็นฝ่ายได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง
เพื่อเอื้อให้เกเบรียลเข้าถึงกุญแจจุดระเบิดนิวเคลียร์ดอกหนึ่ง โดยกุญแจนั้นแยกออกเป็น 2 ส่วน หากรวมกันแล้วจะมีอำนาจสามารถบังคับควบคุมความเป็นไปของโลก รวมทั้ง ควบคุม Entity ได้อีกด้วย
อีธานและผองเพื่อนแท็กทีมลุยอีกครั้ง เขาพบว่าภารกิจนี้นอกจากจะต้องไล่ล่าหากุญแจที่ว่านั่นแล้วยังมีทั้งคนจาก IMF มาตามไล่ล่าเขาด้วย
ภารกิจนี้เป็นงานที่หินที่สุด และต้องเสียใจที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบพบเจอ
นักแสดงนำ
- Tom Cruise รับบทเป็น Ethan Hunt
- Hayley Atwell รับบทเป็น Grace
- Simon Pegg รับบทเป็น Benji Dunn
- Rebecca Ferguson รับบทเป็น Ilsa Faust
- Ving Rhames รับบทเป็น Luther Stickell
- Vanessa Kirby รับบทเป็น The White Widow (แม่ม่ายขาว)
- Esai Morales รับบทเป็น Gabriel
- Pom Klementieff รับบทเป็น Paris
- Henry Czerny รับบทเป็น Kittridge
- Shea Whigham รับบทเป็น Briggs
ความยาว 163 นาที
ความชื่นชอบความประทับใจจากครีเอเตอร์
1.ความสนุก ความระทึกแบบทริลเลอร์สไตล์ถือว่าตอบโจทย์คนดูอย่างครีเอเตอร์แบบไม่ผิดหวัง หนังเล่าเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สับสนแต่อย่างใด เนื้อหาหลายชั้น แต่บรรจงค่อยๆมาประกบกันได้ในภายหลัง แม้หนังจะยาวเกือบ 3 ชั่วโมง แต่ตลอดเรื่องก็ชวนติดตาม ไม่น่าเบื่อ
2.การเดินเรื่องของหนังไม่น่าเบื่อ ไม่ซ้ำกับของเดิมที่เคยเป็นในภาคเก่าก่อนหน้า มีการสับขาหลอกคนดูเป็นระยะ นี่คือจุดเด่นสำคัญของ MISSION IMPOSSIBLE ในทุกๆภาคที่จะมีสไตล์เป็นของตัวเอง ไม่ซ้ำแบบเดิม ถึงจะเล่นมุกคล้ายกับภาคเก่าอยู่บ้าง แต่หนังบรรจงออกมาให้เป็นอีกสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละภาคได้
3.หนังเล่นปมของความเป็นไปได้ของเหตุปัจจัย ที่ A.I เป็นผู้กำหนดดักทางทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว คนต่างหากที่ถูกบังคับภายใต้เงื่อนไขที่ A.I กำหนดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและดาวเทียม ครีเอเตอร์ขอชื่นชมตรงประเด็นในส่วนนี้ เพราะคนเราต่อให้เก่งแค่ไหน การจะต่อกรกับ A.I เป็นเรื่องที่ยากมาก
4.หนังเล่นความรู้สึกของคนดูตามนิทานตาอิน ตานา ตาอยู่ หมายถึง การแย่งชิงของคนสองฝ่าย แต่มือที่สามเป็นฝ่ายได้ของไป ถือเป็นการสอนใจไปในตัว
5.บทสนทนาภายในเรื่องมีการเล่นคำสร้อย (หากรับชมเป็นเสียงภาษาอังกฤษ) คำที่ใช้ราวกับว่าเรากำลังอ่านนิยาย เป็นความโดดเด่นของคนเขียนบทอย่างแท้จริง โดยรวมภาค FALLOUT อาจจะเหนือกว่า ด้วยการดำเนินเรื่องที่กระชับและฉากต่อสู้หลายฉากที่จัดหนักต่อเนื่อง แต่ความโดดเด่นของภาคนี้ก็ถือว่ามันสนุกในอีกแบบหนึ่ง
6.การแสดงของเกเบรียล (Esai Morales) มีน้ำหนักน้อยไปหน่อย แม้จะปรากฏตัวเข้าฉากมาไม่น้อย แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อคนดู ไม่ใช่ว่าเล่นไม่ดี เขาเล่นดี แต่ยังไม่กระตุกจิตกระชากใจมากพอเหมือนคนอื่นๆ ขณะที่ปารีส (Pom Klementieff) นักฆ่าสาวมือขวาของเกเบรียลกลับมีความโดดเด่น ทั้งฉากแอ็กชันประชิดตัว ความโรคจิตที่มีแต่ยังแฝงความน่ารักอยู่ในที นอกจากนี้ดาราหน้าใหม่ในแฟรนไชส์นี้อย่างเกรซ (Haley Atwell) ก็เคมีเข้ากันกับพระเอกได้อย่างลงตัว เป็นนามธรรมที่เลียนแบบไม่ได้เลยจริงๆ
7.ในเรื่องมีการสอดแทรก Easter Egg จากภาคเก่าๆโดยเฉพาะภาคแรกที่ออกฉายในปี 1996 แถมยังมีเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยหรือพูดถึงมาก่อน เป็นการเล่าในช่วงที่อีธาน ฮันท์ตัดสินใจเข้าร่วมหน่วย IMF (Impossible Mission Force) เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือความชื่นชอบจากใจครีเอเตอร์ แม้คนที่คาดหวังฉากแอ็กชันให้มันสะใจอาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่นี่คือหนังแอ็กชันสไตล์ใหม่ที่เน้นความเป็นทริลเลอร์ การวางแผนแล้วทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน แล้วต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาทีหลัง เป็นความขบขัน ความบันเทิงที่คนอื่นทำไม่ได้
สิ่งที่ตัวอย่างภาพยนตร์ได้ปรากฏทำให้คนดูคาดเดาไม่ถูกเลยว่าเนื้อเรื่องจะออกมาเป็นแนวไหน จะว่าไปแล้ว ครีเอเตอร์มองว่ายิ่งรู้น้อยเท่าไร ยิ่งสนุกมากเท่านั้น