ตำนาน และประวัติความเป็นมา ของเมืองลี้ (อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน)
เมื่อก่อน พ.ศ. ๑๘๐๐ คนไทยที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรน่านเจ้า ถูกศัตรูรุกราน จึงได้พากันอพยพหนีจากที่อยู่เดิม ลงมาทางทิศใต้ ในครั้งนั้น ได้มีคนไทยกลุ่มหนึ่ง อพยพหนีภัยศึก มาจากทางแคว้นหลวงพระบาง ลงมาสู่แคว้นล้านนา ในกลุ่มดังกล่าว มีพระนางจามะรีเป็นหัวหน้า มีท้าวพวงมหาด หรือปวงมหาด ซึ่งเป็นผู้สนิทใกล้ชิด เป็นผู้นำทาง โดยมีช้างเป็นพาหนะ พาไพร่พลเมืองหนีภัย ล่องลงมาเรื่อยๆ ตามแนวเมืองฝางปัจจุบัน เลียบเลาะมาตามแม่ระมิงค์ (แม่ปิง) ถึงดอยแห่งหนึ่ง ในเขตจอมทอง ช้างทรงของพระนางจามะรี ได้ออกวิ่งจากดอย ลงสู่แม่น้ำ เพื่อจะข้ามไปสู่ฟากข้างหน้า ดอยแห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า "ดอยหล่อ" อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบันนี้
ช้างทรงได้นำขบวนอพยพ เข้าสู่เขตเมืองหริภุญไชยตอนใต้ เลียบไปตามป่าดงพงไพร ไปทางทิศตะวันออก ช้างพาเดินลัดตัดตรงไปที่ดอยแห่งหนึ่ง และพาเลาะรอบใกล้เชิงดอยนั้น ต่อมาดอยนั้นเรียกชื่อว่า ดอย "แม่รอบ" หรือ "แม่ลอบ" แล้วพาเดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ สู่ขุนลำน้ำลี้ (ซึ่งสมัยนั้น ยังไม่ได้มีชื่อว่าน้ำลี้) ซึ่งเทือกเขายาวติดต่อกัน สลับซับซ้อน ผู้คนพลเมืองที่เดินติดตามมา ต่างก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จนต้องหายใจออกทางปาก และเปล่งเสียง "หุย หุย" "ฮุ่ย ฮุ่ย" ตลอดทาง
ต่อมาภายหลัง ที่นั้นได้ชื่อเรียกว่า "ดอยอีฮุ่ย" ขบวนได้เดินทางต่อมาอีกระยะหนึ่ง ก็ได้มีการหยุดพักไพร่พล และได้ทำการซ่อมแซมเครื่องทรง ที่ชำรุดเสียหาย จากการเดินทางมาไกล ณ ที่หยุดพักซ่อมแซมเครื่องทรงนี้ ต่อมาได้เรียกชื่อว่า "แม่แซม" หรือ "แม่แสม" หลังจากที่ได้หยุดพัก และทำการซ่อมแซมเครื่องทรงช้างแล้ว ก็เดินทางต่อมาอีกครึ่งวัน ก็ได้หยุดพักช้างและพักพล ท้าวปวงมหาด ได้พยายามบังคับช้างให้หมอบลง เพื่อจะได้ปลง (ปลด) เครื่องช้าง แต่ช้างไม่ยอมหมอบ ท้าวปวงมหาด ได้ให้ควาญช้างบังคับช้าง โดยใช้ขอเหล็กกระทุ้ง (ต๊ง) หัวช้าง เพื่อให้ช้างหมอบ ได้พยายามอยู่เป็นเวลานาน ช้างจึงยอมหมอบลง และก็ได้มีการพักไพร่พล ณ ที่แห่งนั้น ต่อมาได้ชื่อว่า "ต๊งหัวจ๊าง" คือทุ่งหัวช้างหรือ อำเภอทุ่งหัวช้าง ในปัจจุบัน หลังจากพักไพร่พลแล้ว ก็ได้เดินทางต่อมาทางทิศใต้ พอมาถึงใกล้ลำห้วยแห่งหนึ่ง ช้างทรงได้ตกใจ ออกวิ่งจนกระเดง (กระดึง) ที่ผูกคอช้าง หลุดออกจากคอช้าง ภายหลัง ณ ที่นั้นได้ชื่อว่า "แม่ปันเดง"
เมื่อเดินทางต่อมาอีกระยะหนึ่ง จึงหยุดพักแรมอีก ขณะที่หยุดพักแรมอยู่นั้น ท้าวปวงมหาด ได้ออกแอ่วล่าสัตว์ แล้วถูกอสรพิษกัดถึงแก่ความตาย พระนางจามะรี จึงให้ปลงศพท้าวปวงมหาด ณ ที่นั้น ซึ่งภายหลังต่อมา ที่นั้นได้ชื่อว่า "บ้านปวง" และ ที่ปลงศพก็คือที่ตั้งวัดแอ่ว หรือ "วัดแอ้ว" ในปัจจุบัน
เมื่อมีเหตุร้าย เกิดขึ้นกับหัวหน้าผู้นำทางเช่นนั้น พระนางจามะรี ก็ไม่สามารถจะตัดสินใจทำประการใด จึงได้ทำการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพาอารักษ์ ขอให้นำช้างทรง ไปสู่สถานที่ที่สมควรแก่ลูกหนึ่ง ช้างทรงได้หันกลับคืนหลัง แต่แล้ว ช้างก็หันกลับเดินทางต่อมาอีก ดอยลูกนั้นได้ชื่อว่า "ดอยคืน" การเดินทางขึ้นดอยลงห้วย ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ช้างได้หยุดเดิน แล้วตะแคงสีข้าง หยุดอยู่กับฝั่งลำห้วยแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้นต่อมาได้ชื่อว่า "ตาแคง" หรือ "นาแคง" ในปัจจุบัน เมื่อเห็นความเหน็ดเหนื่อยของช้างและไพร่พล พระนางจามะรี จึงให้หยุดพัก และให้ไพร่พล นำเอาก้อนหินมาวางซ้อนกัน ข้างก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่ เพื่อทำเป็นแท่นบูชา ได้จัดเครื่องบวงสรวงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สอง ณ ที่นั้น ยังปรากฏก้อนหินตั้งอยู่ และได้ชื่อว่า "ผายอง" (อยู่ห่างจากบ้านนากลาง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) เสร็จแล้ว ก็ได้ออกเดินทางต่อ ช้างได้นำเดินทางมาอีกระยะหนึ่ง ถึงลำน้ำแม่ลี้ ได้เกิดอาเพศ โพงป่าหลอก (คือ ภูต หรือ ผีป่า) ทำให้ช้างสะดุ้งตกใจ ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า "โพงหลอก" หรือ “โป่งหลอก" ในปัจจุบัน
เมื่อช้างตกใจ ได้พาหก (วิ่ง) ย้อนไปทางทิศใต้อีก ณ ที่นั้น ต่อมาภายหลังได้ชื่อว่า "ปาหก" หรือ "ป่าหก" ขณะที่ช้างวิ่งไปเรื่อยๆ นั้น ทำให้เครื่องประดับช้างบางส่วน ที่ทำด้วยทองคำเป็นพวง หลุดหล่นตกลงมาต่อมาที่นั้นได้เรียกว่า “พวงคำ" หรือ "ปวงคำ" ช้างได้ไปหยุดยืนอยู่ที่สบน้ำ ลำห้วยแห่งหนึ่ง ไพร่พลได้ตามไปทัน ช้างก็ได้หันกลับไปทางทิศเหนืออีก แล้วเดินลัดเลาะไปตามป่าและเชิงดอย ช้างเดินไปตามลำห้วยแคบๆ ไพร่พลก็เดินตามกันไปเป็นสาย ห้วยนั้นจึงได้ชื่อว่า "ห้วยสาย" ช้างได้เดินล่องไปตามลำห้วย จนถึงสบห้วย ที่ต่อกับลำน้ำลี้ ที่ตรงนั้นได้ชื่อว่า “ฮ่อมต่อ" หรือ "ฮ่อมต้อ" ช้างได้หยุดอยู่ ไพร่พลทั้งหลาย ก็ได้หยุดพักรวมกันอีกครั้งหนึ่ง
พระนางจามะรี จึงได้ทำพิธีบวงสรวงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สาม โดยขอให้เทพาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ช่วยเหลือให้ได้สร้างบ้านแปงเมือง โดยมีคำอธิษฐานว่า "กันว่าได้สร้างบ้านแปงเมืองด้วยเถิด” ได้หลีกลี้หนีภัยแต๊ๆ ขอเทพาอารักษ์ ได้โปรดนำช้าง ไปสู่ ณ ที่ที่จะสร้างบ้านแปงเมืองด้วยเถิด เสร็จพิธีแล้วช้างก็ออกเดินต่อ นำขบวนที่ติดตาม เลียบเลาะลำน้ำลี้ ลงไปทางทิศใต้ แล้วแยกขึ้นไปตามลำน้ำอีกสายหนึ่ง ณ ที่ลำน้ำมาบรรจบกันสามสายนั้น ต่อมามีชื่อเรียกว่า "แม่ลี้" "แม่แต๊ะ" และ "แม่ไป" ช้างได้นำเดินขึ้นไปตามลำน้ำแม่แต๊ะ ได้อีกระยะหนึ่ง ก็เดินตัดขึ้นฝั่งน้ำแม่แต๊ะทางด้านตะวันตก ขึ้นไปบนเนินสูง จนถึงบริเวณแห่งหนึ่ง ช้างก็ได้หยุดเดิน และทำกิริยาห้าประการ ดังนี้
๑. คู้เข่า หรือหมอบลง
๒. ชูงวงขึ้น ทำลักษณะคล้ายประนมไหว้ และโปรดดอกไม้
๓. ส่งเสียงโกญจนาท ดังลั่นสั่นสะเทือน ทั้งพื้นดินและแผ่นฟ้า
๔. ใช้งาทั้งคู่ปักลงดิน เป็นนิมิตหมาย
๕. ลุกขึ้นทำท่าคึกคักขึงขัง เดินรอบปริมณฑล ลักษณะทักษิณาวรรตสามรอบ พอสิ้นสุดกิริยาทั้งห้าแล้ว ช้างได้หยุดเดิน หมอบลงนอน หันหัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชูงวงชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับสิ้นใจ (ตาย) ลงในบันดล
ด้วยเหตุเกิดดังนี้ พระนางจามะรี ก็ได้ให้ปลดเครื่องช้างออก ให้ไพร่พลหยุดพักอาศัยเป็นการถาวร เมื่อได้หยุดพักอาศัย เป็นเวลาสมควรแล้ว พระนางจามะรี จึงได้พิจารณาบริเวณสถานที่นั้น ปรากฏว่า เป็นพื้นที่อยู่บนที่สูง มีลำน้ำไหลผ่านทางด้านทิศตะวันออกสายหนึ่ง (คือ ลำน้ำแม่แต๊ะ) ทางด้านทิศตะวันตก ก็มีลำน้ำไหลผ่านอีกสายหนึ่ง อ้อมไปทางทิศเหนือ ไปบรรจบกับลำน้ำแม่แต๊ะ ส่วนทางทิศใต้ เป็นแนวป่าไกลออกไป กว้างใหญ่
เมื่อได้พิจารณาทำเลเป็นที่รอบคอบแล้ว พระนางจามะรี ได้สั่งให้ไพร่พล ทำการแผ้วถางพื้นที่ ทั้งในและนอกบริเวณที่ช้าง ได้เดินเป็นทักษิณาวรรต พร้อมกับป่าวประกาศ ให้ไพร่พลทราบทั่วกันว่า ได้กำหนดการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้น ณ ที่นี้ เมื่อไพร่พลได้ทำการแผ้งถาง และทำที่อยู่อาศัยเป็นการถาวรขึ้นแล้ว ต่อจากนั้น ก็ได้ร่วมกันปรับพื้นที่บริเวณที่จะสร้างเมืองขึ้น โดยทำการขุดคูคลองทางเดินทิศใต้ ตั้งแต่แนวฝั่งลำน้ำแม่แต๊ะ ตัดไปทางทิศตะวันตก จดลำห้วยเวียง ส่วนทางทิศตะวันออก ด้านทิศเหนือ และด้านทิศตะวันตก มีลำน้ำห้วยเวียง และลำน้ำแม่แต๊ะ เป็นลักษณะคูธรรมชาติอยู่แล้ว พระนางจามะรี ได้ให้ทำฝายกั้นน้ำ ลำน้ำห้วยเวียงและลำน้ำแม่แต๊ะ เพื่อให้เกิดน้ำขัง เป็นลักษณะคูล้อมรอบเมืองที่สร้างขึ้น ทั้งยังเป็นการกักเก็บน้ำไว้ ให้ไพร่พลเมืองได้ใช้อีกด้วย
ต่อจากนั้น ได้มีการสร้างที่ประทับ และสร้างบ้านเรือน สำหรับข้าราชการบริพารผู้ใกล้ชิด ในตัวคูเมือง พร้อมกับสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง มีทั้งวิหารและเจดีย์ในเมือง ส่วนไพร่พลนอกนั้น ก็ให้สร้างบ้านเรือนอยู่นอกเมืองทั้งสี่ด้าน บนคันคูเมืองด้านใน ได้ก่อกำแพงด้วยอิฐดินเผา มีป้อมปราการ และประตูเมือง ตามแบบของการสร้างเมืองสมัยโบราณ นอกจากนี้ ได้มีการปลูกกอไผ่เป็นแนว ตามกำแพงเมืองอีกด้วย ประตูเมืองสร้างขึ้นมี ๓ ประตู คือ ประตูด้านทิศเหนือ มีป้อมยามรักษา ที่ใกล้กับป้อมยามนั้น มีหนองน้ำขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งต่อมา ได้เรียกชื่อหนองน้ำนั้นว่า "หนองป้อม" ประตูที่สองอยู่ทางทิศใต้ ประตูที่สามอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งทางด้านตะวันออกนั้น พื้นที่จะลาดต่ำ ลงไปถึงลำน้ำแม่แต๊ะ ทางฟากตะวันออก ของลำน้ำแม่แต๊ะ จะเป็นพื้นที่ราบต่ำ มีพื้นที่กว้างขวาง ให้เป็นที่ตั้งบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของไพร่พล ผู้คนที่ติดตามมา ทั้งยังได้มีการกำหนด และสร้างที่ที่ประชาชนพลเมือง จะได้มาใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนซื้อขาย เป็นลักษณะตลาดขึ้นอีกด้วย ต่อมาภายหลัง พื้นที่ดังกล่าว ถูกใช้เป็นที่ทำนา จึงได้ชื่อว่า “ทุ่งกาด"
ในการสร้างบ้านเมืองขึ้นมานั้น พระนางจามะรี ได้ก่อสร้างอาคาร ซึ่งมีทั้งปราสาทราชวัง ที่อยู่อาศัย สำหรับไพร่พลที่สำคัญดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ ยังได้สร้างวัดไว้ที่นอกเวียงอีกคือ
๑. วัดพระเจดีย์ห้าองค์ ได้สร้างวิหารและเจดีย์ มีลักษณะเป็นห้ายอด ตามกิริยาทั้งห้าของช้าง ที่ได้แสดงให้ประจักษ์ (ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุห้าดวง)
๒. วัดแท่นคำ สร้างขึ้นไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง (ปัจจุบัน ปรากฏซากฐานรากสิ่งก่อสร้างวัด ที่ถูกถนนพหล-โยธินตัดผ่าน)
๓. สร้างวัดลี้หลวง (ปัจจุบันอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลลี้ อำเภอลี้)
๔. สร้างวัดโปงกาง หรือวัดโปงก้าง ทางทิศใต้ของวัดพระธาตุห้าดวง (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง ยังไม่ได้รับการบูรณะ หรือสร้างขึ้นมาใหม่)
นอกจากนี้ ได้มีการขุดสร้างหนองน้ำขนาดใหญ่ ที่กลางทุ่งนา ณ ที่หนองน้ำนี้ มีชื่อเรียกภายหลังว่า "หนองเจนเมือง" เมืองและที่อยู่อาศัย ที่พระนางจามะรีสร้างขึ้นนี้ มิได้สร้างเสร็จภายในเร็ววัน คงต้องใช้เวลานานพอสมควร เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ได้ชื่อว่า "เมืองลี้" (ภาษาถิ่นว่า “เมืองลิ") คือตั้งนามเมืองตามเหตุและลักษณะที่ผู้หลบลี้หนีภัยมา สร้างขึ้นเป็นที่อยู่อาศัย หลบลี้หนีภัยศัตรู
เมืองลี้ ได้เจริญรุ่งเรือง ตลอดสมัยพระนางจามะรี สิ่งก่อสร้างต่างๆ แม้เมื่อเมืองลี้ร้างไปนานแล้ว ก็ยังปรากฏหลักฐาน อันเป็นซากสิ่งก่อสร้างอยู่ ทั้งซากแนวกำแพงเมือง แนวคูเมือง ซากวัดวาอาราม ซึ่งซากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ จะมีอิฐดินเผาก้อนขนาดใหญ่
พระแม่จามะรี ยังมีนามอีกนามหนึ่ง ที่ไพร่ฟ้าประชาชนเรียกว่า "เจ้าเจนเมือง" เมื่อสิ้นสมัยพระนางจามะรีแล้ว ก็ได้มีผู้เป็นเจ้าเมือง ปกครองเมื้องลี้ต่อมาอีกคือ
๑. เจ้าอุ่นเมือง (เป็นองค์ที่ ๒)
๒. เจ้าจองสูง (เป็นองค์ที่ ๓)
๓. เจ้าข้อมือเหล็ก (เป็นองค์ที่ ๔)
๔. เจ้าปูเหลือง (เป็นองค์ที่ ๕)
๕. เจ้านิ้วมืองาม (เป็นองค์ที่ ๖)
ในสมัยที่เจ้านิ้วมืองามเป็นเจ้าเมือง ปกครองเมืองลี้อยู่นี้ ได้มีกองทัพสุโขทัย ยกมาตระเวนดูกำลังไพร่พล และที่ตั้งของเมืองลี้ เพื่อจะโจมตีเอาเป็นเมือง อยู่ในเขตการปกครองของสุโขทัย ปรากฏว่า เห็นที่ตั้งเมืองเป็นที่แน่นหนา ไม่อาจสามารถโจมตีด้วยกำลังคนที่มาดูได้ เนื่องจากเมืองลี้ มีป้อมปราการกำแพงเมือง คูเมือง ที่ล้อมรอบแน่นหนา นอกจากนี้ ยังมีกอไผ่ที่ปลูกขึ้นโดยรอบ เป็นแนวรอบเมืองอย่างหนาแน่นอีกด้วย หน่วยตระเวนสุโขทัย จึงได้ยกไพร่พลกลับสุโขทัย เพื่อวางแผนการโจมตีเมืองลี้ในโอกาสต่อมา แล้วอีกไม่นาน กองทัพสุโขทัย ก็ได้ยกมาตั้งอยู่นอกเมือง ทำทีเหมือนจะยกพลเข้าโจมตีเมือง และได้ใช้ปืนยิงเข้าไปในตัวเมือง ลูกกระสุนปืนที่ใช้ยิงเข้าไปในเมือง และในกอไผ่ทั่วไปนั้น ส่วนหนึ่งทำด้วยเงินก้อน ฝ่ายสุโขทัย ได้ระดมยิงลูกกระสุนเงินเข้าไปในเมือง และกอไผ่ทั่วทุกด้านแล้ว จึงได้ยกทัพกลับไป ภายหลังจากที่กองทัพสุโขทัยกลับไปแล้ว ชาวเมืองเก็บได้ก้อนเงิน ที่ฝ่ายสุโขทัยทำเป็นลูกกระสุนยิงตกอยู่ทั่วไป ต่างพากันตื่นเต้น เที่ยวเก็บก้อนเงินเป็นการใหญ่ จนถึงกับตัดฟันต้นไม้ไผ่ เพื่อแผ้วถางเก็บเอากระสุนก้อนเงิน ทั้งที่ตกอยู่ในกอไผ่ และฝังดินอยู่ตามลำไม้ไผ่ จนไม้ไผ่ถูกตัดฟันลงไปหมด โดยหาเฉลียวใจไม่ว่า ความอยากได้เช่นนั้น จะเป็นภัยร้ายแรงแก่บ้านเมือง และตัวเองอย่างไร เมื่อกองลาดตระเวนสุโขทัยยกมาอีกครั้งหนึ่ง หลังฤดูแล้งผ่านไป ฝ่ายสุโขทัย จึงได้ลอบเข้าเผาไม้ไผ่ ที่ถูกตัดฟันทิ้งแห้งอยู่ ไฟก็ได้ลุกไหม้ทั้งไม้ไผ่ และเผาบ้านเมืองจนวอดวาย นอกจากนี้ ฝ่ายกำลังสูโขทัย ยังใช้ปืนยิงเข้าใส่ผู้คนพลเมือง ที่แตกกระสานซ่านเซ็นอีกด้วย เจ้านิ้วมืองาม ถูกกระสุนตามร่างกาย และถูกนิ้วมือขาดถึงแก่พิราลัย
เมื่อทัพสุโขทัย ตีเมืองได้สำเร็จ ก็ได้กวาดต้อนผู้คน และขนทรัพย์สินไปยังสุโขทัย เมืองลี้ จึงได้กลายเป็นเมืองร้างไปตั้งแต่นั้นมา ส่วนผู้คนพลเมืองที่หลบหนี ไม่ถูกกวาดต้นไป ก็ต้องไปหาที่อยู่อาศัยตามที่ต่างๆ กระจัดกระจาย จนไม่อาจที่จะรวมตัวกันทำประการใดๆ ได้
การเรียกชื่อเมืองลี้ ตั้งแต่ครั้งพระแม่จามะรีมาตั้งเมืองขึ้น ตามตำนาน หรือจะเรียกชื่อเมืองลี้ภายหลัง เมื่อผู้คนได้อพยพหลบลี้หนีภัย มาอยู่ในบริเวณนี้ ชื่อ "เมืองลี้" ก็มีปรากฏในเรื่องราว บันทึกเป็นหลักฐาน ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีชื่อเมือง "ลี้" ในแผนที่ หรือเส้นทางเดินทัพของกองทัพไทย ที่ต้องผ่านขึ้นไปตีกองทัพพม่า ที่เมืองเชียงใหม่ ในสงครามไทย - พม่า ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๓๐ พม่าได้ยกทัพมามีจำนวนพล ประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน และมาล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้ทั้งสี่ด้าน เป็นแผนการทำสงครามระยะยาว ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จขึ้นไปบัญชาการศึก ดังข้อความเป็นหลักฐาน ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์กรุงรัตน์โกสินทร์ เล่ม ๑ ฉบับพิมพ์ปี ๒๕๒๕ งานสมโภชกรุงรัตน์โกสินทร์ ๒๐๐ ปี" หน้า ๗๔ ความว่า
“สมเด็จพระบวรราชเจ้า เสด็จไปในครั้งนั้น ไปประชวรที่เมืองเถิน ไม่สามารถจะเสด็จต่อไปได้ จึงมีรับสั่งกับทูตของพระยากาวิละ ให้กลับไปแจ้งว่า จะทรงแต่กองทัพไปช่วยเหลือให้ได้ พระยากาวิละ ไม่ต้องวิตก แล้วทรงจัดทัพออกเป็น ๒ ทัพ ให้ทำศึกแข่งขันกัน ระหว่างกองทัพวังหลวง และกองทัพวังหน้า ดังเช่นครั้งก่อน ให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ กับพระยายมราชคุมทัพหลวง ยกไปทางเมืองลี้ ให้กรมขุนสุนทรภูเบศร์ กับพระองค์เจ้าลำดวน พระองค์เจ้าอินทปัต คุมกองทัพวังหน้า ยกไปทางเมืองลำปาง" บันทึกหลักฐานดังกล่าวแสดงว่า ชื่อ “เมืองลี้" มีมาก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แล้วแน่นอน
เมืองลี้ สมัยตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จะเป็นเมืองหนึ่งที่ขึ้นต่อเมืองลำพูน หรือหริภุญชัย เจ้าผู้ครองเมืองลำพูน ได้ตั้งผู้ปกครองเมืองลี้ เรียกว่า "พระยาลี้" พร้อมทั้งได้กำหนดบทบัญญัติ เป็นลักษณะตัวบทกฏหมาย ให้เป็นเครื่องในการปกครองด้วย ดังตัวอย่างจารึกอักษรพื้นเมือง ในสมุดข่อยฉบับหนึ่ง ความว่า
"ทัฬหะ มังคละศุภะสาสะตินุสา ในพระวระราชกถาอะตุระปัญญา ปัญญะสัมภาระกัตตาธิการ ในพระวระองค์อัคคมหาบพิตรา พระวระองค์เจ้า เราเป็นเจ้าเหนือหัว พระองค์เป็นเจ้า ชัยยะลังกาพิส สโสภาคยคุณ พระวระองค์ เป็นอิสระในรัฐนครหริภุญชัยสุขาวดี ได้มีพระราชโอวาทอาชาญา มาตั้งไว้กับเมืองลี้ ตั้งแต่ศักราช ๑๒๒๗ ตัวปีดับเป้า เดือน ๑๐ แรมค่ำนึ่ง วันอาทิตย์นี้ไปภายหน้า หื้อได้มีคำพร้อมกับด้วยกัน หื้อเป็นลำนำคำเดียว อย่าหื้อกูถกมึงถาก มักราชการเมืองเกิดมีมา ก็หื้อได้เล็งหากัน ทังขุนทังนายทังผู้เฒ่าผู้หนุ่ม มักผู้ใดเป็นนาย ก็หื้อได้ช่วยกันว่าหากันคืด หื้อแล้วด้วยราชการ ตัวเป็นนายแล้ว บ่ได้คึดกับบ้านกับเมืองนั้น ก็หื้อรับราชการเหมือนไพร่ ออกด้วยการนั้นและ อันนึ่ง เซิ่งเป็นขุนเป็นนายทังมวล หื้อได้พร้อมมูลกัน ต่อสัพพะว่าการทังมวล อันควรเป็นของสมบัติก็ดี มักปรากฏเกิดมีในปักแคว้น ในแขวงเมืองลี้ ที่ไกลที่ใกล้ มีสัมสาดนองา เผิ้งผาชามิ้นดินไฟพริกยา ค่าหัวไร่หัวนา ค่าที่สัพพะอันใดก็ดี หื้อได้มีคำพร้อมกับด้วยกัน ทังขุนทังนาย ทังผู้เฒ่าผู้หนุ่ม หื้อปันกันรู้สู่กันฟัง อย่าหื้อกูถกมึงถาก อย่าลักกินก่อนซ่อนกินลุน”
อีกฉบับหนึ่ง จากจารึกอักษรพื้นเมืองในสมุดข่อย ความว่า
“จุลศักราชได้ ๑๒๔๐ ตัวปียี เดือน ๖ แรม ๖ ค่ำ วันผัด มีองค์เป็นเจ้าหอหน้า เป็นเค้าเจ้าราชวงศาธิราชลือไชย เจ้าบุรีรัตน์ เจ้าราชบุตร เจ้าไชยสงคราม อุตมะกุลวงศา ท้าวพระยาเสนาอามาตย์ ๑๒ ขุน พร้อมเหนือสนามชุตน เข้าไปพร้อมกันกลางโรง องค์เป็นเจ้า ดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ อรโคตรกิตติโสภณวิมลคุณ ตนเป็นเจ้าเมืองละพูน พร้อมกันตั้งดวงมาตรอาชญา มาตั้งไว้กับขุนนาย กรมการเมืองลี้ ทั้งมวล”
“ข้อหนึ่ง ว่าด้วยการในเมืองลี้ บ่หื้อมีหลายปักหลายแคว่น หื้อแล้วกับพระยาลี้ กับขุนไพร่ผู้ใดขัดหรือ พระยาลี้ เข้ามาไหว้สา จักหื้อมีผิดอาชญาตามกฎหมาย”
“พระยาลี้" มีตัวตนแน่นอน ตามหลักฐานจารึกอักษรพื้นเมืองในสุดข่อย จะมีตั้งแต่เมื่อใดสันนิษฐานว่า “พระยาลี้องค์แรก" เริ่มเมื่อกรุงรัตน์โกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕) และอาจก่อนนี้ก็ได้ และพระยาลี้คงจะมีสืบต่อกันหลายองค์ แต่เรียกเหมือนกันว่า พระยาลี้ และสิ้นสุดองค์สุดท้ายที่ พระยาเขื่อนแก้ว เมื่อสมัยการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน สมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งจัดระบบการปกครองส่วนภูมิภาค เป็นมณฑลเทศาภิบาล จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และเริ่มมีผู้ปกครอง ในตำแหน่ง "นายอำเภอ" แทนเจ้าเมือง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๐ (เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๑ หรือศักราช ๑๒๔๐ ยังมีผู้ปกครองเป็นพระยาลี้อยู่ ตามหลักฐานจารึกอักษรพื้นเมืองสมุดข่อย)
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๓๕ เป็นต้นมา โดยยกเลิกจตุสดมภ์ แล้วจัดตั้งกระทรวงทบวงกรมตามแนวใหม่ และจัดระบบการปกครองหัวเมืองใหม่ ด้วยการยกเลิกระบบกินเมือง และจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลาง ไปประจำทำหน้าที่ตามหัวเมือง แทนเจ้าเมืองเก่า กำหนดเขตการปกครอง เป็นมณฑลเทศาภิบาล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ในชั้นต้น เมืองลี้ได้ชื่อเรียกว่า "แขวงเมืองลี้" ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "อำเภอลี้" โดยอยู่ในเขตการปกครองของเมืองลำพูน หรือจังหวัดลำพูน
อำภอลี้ปัจจุบัน การปกครองแบ่งออกเป็น ๘ ตำบล คือ ตำบลลี้ ตำบลศรีวิชัย ตำบลแม่ตืน ตำบลป่าไผ่ ตำบลดงดำ ตำบลนาทราย ตำบลแม่ลาน ตำบลก้อ และอาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อเขตอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน
ทิศใต้ ติดต่อเขตอำเภอเถิน อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง และอำเภอสามเงา จังหวัดตาก
ทิศตะวันออก ติดต่อเขตอำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน และอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง
ทิศตะวันตก ติดต่อเขตอำเภอดอยเต่า และแม่น้ำปิง เขตจังหวัดเชียงใหม่
สภาพทางภูมิศาสตร์ พื้นที่อำเภอลี้ กว้างขวางเกือบครึ่งหนึ่ง ของพื้นที่จังหวัดลำพูน สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่สูง ส่วนมากเป็นภูเขา ต้นน้ำลำธารมากมาย ลำธารหรือลำห้วยเกือบทั้งหมด จะไหลรวมกันเป็นแม่น้ำลี้ อีกส่วนหนึ่ง จะไหลลงสู่แม่น้ำปิง แม่น้ำลี้ จึงเป็นแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน ๓ อำเภอ คือ อำเภอทุ่งหัวช้าง อำเภอลี้ และอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ดังนั้นแม่น้ำลี้ จึงเปรียบเหมือนเส้นโลหิตเส้นใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพื้นที่ ๓ อำเภอดังกล่าว สภาพภูมิอากาศ โดยทั่วไปอากาศจะเย็นสบาย ในฤดูหนาวอากาศจะหนาวเย็น
อ้างอิงจาก:
https://youtu.be/SHfdkIGoVPE?si=mird_x-pDJWckqNg
ตำนาน และประวัติความเป็นมา ของเมืองลี้