รีวิวหนังดัง MORTAL KOMBAT มอร์ทัล คอมแบท
ภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมอันเลื่องชื่อ MORTAL KOMBAT การต่อสู้ของสองฝ่ายที่ไม่มีที่มาชัดเจน แต่สนุกเอาเรื่อง เหมือนเป็นกังฟูแต่มีความเป็นแฟนตาซีเจือเข้ามาด้วย ผลงานการกำกับของ Simon McQuoid ที่จะมายกระดับความมันให้รุนแรงแบบเรท R บอกเลยว่างานนี้โหดสะใจคอหนังแน่นอน
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ Cole Young ที่ต้องค้นหาพลังของตัวเอง แม้จะมีตราสัญลักษณ์แต่เขาก็ทำอะไรได้ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา เขามักเห็นภาพหลอนของ Hanzo Hasashi ผู้เป็นบรรพบุรุษอยู่เสมอ โชคดีที่สมาชิกในทีมอย่าง Sonya Blade ยอดคนหญิงแกร่งยังไม่เลิกศรัทธาในตัวเขา และ Jax ชายผิวสีกล้ามใหญ่ที่เป็นส่วนสำคัญคนหนึ่งของทีม
นอกจากนี้ยังมี Lord Raiden อาจารย์ผู้ชี้ทางให้คำแนะนำ พร้อมกับลูกศิษย์อีกสองคนคือ Liu Kang ผู้ควบคุมไฟ และ Kung Lao ผู้มีหมวกฟางเป็นอาวุธ
การต่อสู้เพื่อหา Champion ยังคงดำเนินต่อไป เพราะ Bi-Han หรือฉายา Sub Zero ศิษย์เอกสำคัญที่มีพลังเยือกแข็งเป็นอาวุธ ภายใต้การกำกับของ Shang Tsung
นอกจากนั้นพวกมันยังมีสมุนฝีมือฉกาจ ไม่ว่าจะเป็น Kano ไอ้หนุ่มกวนบาทา ผู้มีตาพ่นแสงเป็นอาวุธ
Mileena ยอดหญิงปากฉีกผู้มีตรีศูลเป็นอาวุธ
Reiko ผู้มากับค้อนยักษ์
Kabal ผู้สวมหน้ากากพร้อมแววตาแดง
Goro ผู้มีกายหยาบพร้อมแขน 4 ข้าง
นักแสดงนำ
- Joe Taslim รับบทเป็น Bi-Han, Sub-Zero
- Hiroyuki Sanada รับบทเป็น Hanzo Hasashi, Scorpion
- Lewis Tan รับบทเป็น Cole Young
- Jessica McNamee รับบทเป็น Sonya Blade
- Josh Lawson รับบทเป็น Kano
- Mehcad Brooks รับบทเป็น Jax
- Tadanobu Asano รับบทเป็น Lord Raiden
- Chin Han รับบทเป็น Shang Tsung
- Ludi Lin รับบทเป็น Liu Kang
- Max Huang รับบทเป็น Kung Lao
- Sisi Stringer รับบทเป็น Mileena
ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์
1.หนังมีความมันสะใจและฉาก Action ที่ออกแบบคิวบู๊มาเป็นอย่างดี คือจุดเด่นของเรื่องนี้ โดยจะเรียกว่าเป็นตัวชูของเรื่องนี้เลยก็ได้ เพราะหนังเดินเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่ได้มีแง่มุมใหม่หรือไม่ได้ถึงขั้นปฏิวัติวงการภาพยนตร์ขนาดนั้น ถือเป็นหนังที่ดูสนุกแบบที่อย่าคิดอะไรมาก ดูเพลินๆแล้วจะโอเคกับมันได้ไม่ยาก
2.แม้จะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเกม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจบริบทตัวละครที่มาจากเกม คอหนังสามารถซึมซับอรรถรสที่ผู้กำกับพยายามถ่ายทอดออกมาได้เลย
3.การเล่าเรื่องตรงตัวเข้าใจง่ายก็ถือเป็นดาบสองคมอยู่เหมือนกล่าวคือ มันไม่มีเสน่ห์ให้เป็นที่จดจำ เมื่อหนังจบคือจบ ไม่มีอะไรที่เราอยากรับรู้หรือไม่มีภาพจำกลับบ้านไปเลย
4.การแสดงของแต่ละคนถือว่าเฉลี่ยกันไป ไม่มีใครเด่นเกินหน้าใคร ทุกคนมีบทบาทและความสำคัญทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือร้าย
5.ตอนจบของหนังเป็นไปแบบกำปั้นทุบดิน คือคนดูอาจจะรู้สึกว่ามันเอากันง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ แต่คนดูก็พอเข้าใจได้ว่าหนังต้องการจะจบเรื่องแล้ว จึงทำการปิดฉากแบบตรงตัว พลิกจากคับขันมาเป็นเอาชนะผู้ร้ายอย่างง่ายดายและไม่ได้มีเทคนิคพิเศษแต่อย่างใด