รีวิวหนัง THE FLASH (เดอะ แฟลช)
หนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่ที่น่าจับตามองคนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในทีม JUSTICE LEAGUE มีพลังพิเศษคือความว่องไวเป็นอาวุธ เขาคือ THE FLASH และความเร็วของเขาช่วยแก้ปัญหาและช่วยเหลือผู้คนได้จริง
ครั้งนี้ แบร์รี่ อัลเลน กลับมาฉายเดี่ยวเป็นพระเอกเต็มตัวกับเขาซะที ทำเอาแฟนคลับรอนานกันเลยทีเดียวจะมีวันนี้กับเขาได้ ทางค่าย DC ก็จัดให้ไม่รอช้า แต่จะสมกับการรอคอยหรือไม่นั้น...ยังคงรอการพิสูจน์จากพวกเราครับ
นักแสดงนำ
- Ezra Miller รับบทเป็น Barry Allen
- Sasha Calle รับบทเป็น Kara Zor-El
- Michael Keaton รับบทเป็น Bruce Wayne
- Maribel Verdú รับบทเป็น Nora Allen
- Ron Livingston รับบทเป็น Henry Allen
- Michael Shannon รับบทเป็น General Zod
- Kiersey Clemons รับบทเป็น Iris West
- กำกับการแสดงโดย Andy Muschietti
ความยาว 144 นาที
เรื่องย่อ
แบร์รี่ อัลเลน หรือสมญานาม THE FLASH ซูเปอร์ฮีโร่พลังสปีดฟอร์ช เร็วสั่งมาเกิด หลังจากคอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมอย่างแบทแมนในการยุติการก่อการร้ายแล้ว เขายังคงต้องวนเวียนกับปัญหาส่วนตัวเรื่องพ่อของเขา (เฮนรี่ อัลเลน) ที่เป็นจำเลยของสังคม ข้อหาฆาตกรรมโนรา อัลเลน แม่ของแบร์รี่ ทั้งที่เฮนรี่เป็นผู้บริสุทธิ์ เขาถูกใส่ร้าย แบร์รี่จึงเลือกแก้ปัญหาโดยการทำความเร็วสูงสุด เพื่อย้อนเวลาแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ให้แม่ของเขาไม่ต้องถูกฆาตกรรม ไม่ให้พ่อของเขาถูกเข้าใจผิด เขาแก้ไขได้สำเร็จ แต่ทุกอย่างในจักรวาลที่แบร์รี่เคยรู้จักกลับผิดเพี้ยนไปจากเดิมแทบทั้งหมด มันกลายเป็นโลกที่ไม่มี Metahuman (ซูเปอร์ฮีโร่จากทีม JUSTICE LEAGUE) แต่กลายเป็นแบทแมน คนใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จัก ทุกอย่างใน Multiverse กลับผิดเพี้ยนไปหมด แล้วแบร์รี่จะจัดการอย่างไรได้ เมื่อมีนายพลซอด ศัตรูเก่าของซูเปอร์แมนกลับมาใหม่อีกครั้ง
ความชื่นชอบและประทับใจจากครีเอเตอร์
- ประเด็นการเล่าเรื่องถือว่าใช้ได้ แม้จะใช้เวลานานไปสักหน่อย แต่จังหวะการเล่าเรื่องถือว่าไม่น่าเบื่อเลย หากไม่ใช่ผู้กำกับอย่าง Andy Muschietti แล้ว คงน่าเบื่อแน่นอน
- ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีการโฟกัสตัวละครที่แปลกใหม่ ในแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น เราก็จะได้เห็น ถือเป็นการ Service แฟนคลับของค่าย DC เป็นอย่างยิ่ง
- การได้เห็น Michael Keaton กลับมาเป็นแบทแมนอีกครั้งทำให้รู้สึกใจฟูหวนรำลึกถึงเรื่องเก่าๆอีกครั้ง ครีเอเตอร์คิดว่าจะไม่ได้เห็นแบบนี้แล้วเสียอีก นี่แค่สิ่งที่เห็นจากตัวอย่างภาพยนตร์เท่านั้น พอได้เห็นตัวหนังเต็มเรื่อง ก็ยิ่งเติมเต็มมากกว่าที่คาดคิดเสียอีก
- สเกลภาพเป็นโทนสว่าง ไม่มืดหม่นเหมือน JUSTICE LEAGUE ของผู้กำกับ Zack Snyder ภาพที่สว่างแบบนี้มีผลต่ออารมณ์คนดูอยู่พอสมควร มันมีความชัดเจนต่อสิ่งปรากฏ เป็นสไตล์ที่ครีเอเตอร์อยากให้มีในหนัง DC หลายๆเรื่อง
- ฉากแอ็กชันมันถึงใจ แม้บางฉากอาจจะดูเว่อร์เกินจริงไปหน่อย แต่ก็อยู่ในครรลองของหนังซูเปอร์ฮีโร่แฟนตาซี หลายฉากชวนอึ้งในความแปลกของมันอยู่เหมือนกัน
- ข้อดีของหนังอีกประเด็นหนึ่งคือ กล้าเล่นมุกแม้ในช่วงซีเรียส มันทำออกมาได้อย่างลงตัวไม่ฝืดฝืน เพราะบุคลิกของ THE FLASH มันเหมาะที่จะทำแบบนั้นอยู่ด้วย ถือว่าหนังซ่อนอารมณ์ขันเหลือร้ายเอาไว้เป็นหมัดเด็ด
- คงยากที่จะหาใครมาเล่นเป็น THE FLASH ใน 2 คาแรกเตอร์ที่มาจากคนละไทม์ไลน์ได้ นอกจากเขาคนนี้ Ezra Miller สามารถแสดง 2 คาแรกเตอร์ให้ออกมาแตกต่างได้อย่างลงตัว ความเป็นดราม่าของหนังก็ถือเล่นได้ดีเลยทีเดียว แม้เราอาจจะไม่ได้ถึงกับหลงรักในตัวละครนี่มากเท่าไหร่ แต่ส่วนผสมของนักแสดงถือว่าเข้ากันได้อย่างลงตัวเช่นกัน
- CG ไม่สมจริงเท่าไรนัก แสงเงาและการเคลื่อนที่ดูลอยๆ โดยเฉพาะช่วงที่พระเอกวิ่งด้วยความเร็วสูงยิ่งดูชัดเจนเข้าไปอีก การเล่าเรื่องด้วย Multiverse ถือเป็นครั้งแรกของ DC ไม่ใช่ครั้งแรกของคนอื่น ถือเป็นความกล้าหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าแข่งกับค่ายอื่น จึงถือว่ามันไม่แปลกแล้วในเรื่องนี้ หนังจึงใช้วิธีเล่าเรื่องแบบตรงๆแต่ดูเฉิดฉายอย่างไม่น่าเชื่อ แถมตอนจบก็มีเซอร์ไพรส์ชวนอึ้งให้เห็นอีก