จักรพรรดินีพระองค์สุดท้าย ราชวงศ์เหงียน
🔖จักรพรรดินีพระองค์สุดท้าย ราชวงศ์เหงียน เวียดนาม
🔸จักรพรรดินีนาม เฟือง เป็นพระอัครมเหสีในจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของเวียดนาม พระนางเป็นจักรพรรดินีพระองค์ที่สองและพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน ของเวียดนาม ครับ
🔸พระนาง มีพระนามาภิไธยเดิมว่า เหงียน หืว ถิ ลาน เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ.1914 ณ เมืองก่อกง ซึ่งเป็นเมืองแถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ขึ้นกับโคชินไชนา เเละเป็นหนึ่งในสามดินแดนอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส
🔸มีพระราชบิดาคือ ปีแยร์ เหงียน หืว ห่าว ซึ่งเป็น พ่อค้าผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ เเละเป็นผู้ยากจนมาก่อนแต่จากการที่เขารู้จักกับอาร์ชบิชอปแห่งไซ่ง่อน จึงถูกแนะนำให้เข้าทำงานเป็นเลขานุการของฟีลิป เล ฟ้าต ดัต ดุ๊กแห่งล็องมี (มหาเศรษฐี)
🔸หลังจากนั้นเขาสมรสกับมารี เล ถิ บิญ (ธิดาของเล ฟ้าต ดัต) และดำรงตำแหน่งดุ๊กแห่งล็องมีต่อจากพ่อภรรยา ทั้งนี้พระองค์เป็นญาติห่าง ๆ ของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย พระราชสวามีในอนาคตด้วยครับ
🔸พระนาง เป็นพลเมืองฝรั่งเศสแปลงสัญชาติ เป็นรู้จักในนาม มารีแย็ต เข้าศึกษาที่กูว็องเดซัวโซ เป็นโรงเรียนคาทอลิกในเนอยี-ซูร์-แซน ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่พระชันษาได้ 12 ปี
🔻อภิษกสมรส🔻
🔸ใน วันที่ 9 มีนาคม ค.ศ.1934 ข่าวการหมั้นของพระนางกับพระเจ้าบ๋าว ดั่ย กษัตริย์แห่งอันนัม ได้เผยแพร่ออกไปทั่ว
🔸พระเจ้าบ๋าว ดั่ย ได้กล่าวว่า “พระราชินีในอนาคตได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเราในฝรั่งเศส เป็นการรวมระหว่างบุคลิกของนางคือ ความสง่าแห่งตะวันตกและเสน่ห์แห่งตะวันออก
🔸เราได้มีโอกาสพบนาง เชื่อว่านางเป็นผู้ที่ควรสรรเสริญเพื่อเป็นมิตรที่ดีของเราและผู้เท่าเทียมกับเรา เราแน่ใจในจริยวัตรและแบบอย่างที่ดี เราควรยกย่องนางเป็น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของจักรวรรดิ (First Woman of the Empire)”
🔸หลังจากพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการที่พระราชวังฤดูร้อนในเมืองด่าหลัต พระเจ้าบ๋าว ดั่ย ได้อภิเษกสมรสกับเหงียน หืว ถิ ลาน ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1934 ที่เมืองเว้
🔸พระราชพิธีจัดขึ้นตามหลักพระพุทธศาสนา ทำให้ผู้นำคาทอลิกของครอบครัวฝ่ายหญิงได้โต้เถียงอย่างรุนแรง คนในประเทศจึงไม่พอใจการเลื่อมใสในศาสนาของเจ้าสาว บางคนกล่าวว่าการสมรสนี้ “เป็นการจัดตามกลลวงของฝรั่งเศส”
🔸หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ได้เขียนว่า “ทำให้เกิดความไม่พอใจไปทั่ว” ในประเทศนี้ เหงียน หืว ถิ ลานปฏิเสธที่จะยอมละทิ้งคาทอลิก
🔸และได้ร้องอุทธรณ์ถึง สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 เพื่อให้ทรงงดเว้น พระองค์กล่าวว่า “จะให้กลับเป็นคาทอลิกถ้ายินยอมให้พระธิดาของพระนางเป็นคาทอลิก”
🔸นอกจากนี้การซับซ้อนของแผนการสมรสทำให้พระราชมารดาของกษัตริย์บ๋าว ดั่ย คือ เจ้าหญิงดวาน ฮวีทรงไม่พอใจ อีกทั้งมีสตรีนางอื่นมาถวายตัวเป็นฝ่ายในแก่บ่าว ดั่ย จำนวนมาก แต่กลับไม่ถูกเลือก
🔸พิธีสมรสสิ้นสุดลงใช้เวลาถึง 4 วัน เหงียน หืว ถิ ลานได้รับการสถาปนาพระอิศริยยศชั้น “เจ้าฟ้าหญิง” และเปลี่ยนชื่อเป็น “นาม เฟือง” อันแปลว่า “น้ำหอมแห่งแดนใต้” เป็นการยกย่องสถานที่ประสูติของพระนาง
🔸จักรพรรดินีนาม เฟืองประสูติการพระราชโอรส-ธิดา 5 พระองค์ ทั้งหมดเข้ารีตคาทอลิกและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศฝรั่งเศส 👇
- เหงียน ฟุก บ๋าว ล็อง (4 มกราคม ค.ศ.1936)
- เหงียน ฟุก เฟือง มาย (1 สิงหาคม ค.ศ. 1937)
- หงียน ฟุก เฟือง เลียน ( 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1938)
- เหงียน ฟุก เฟือง ซุง ( 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942)
- เหงียน ฟุก บ๋าว ทั้ง (9 ธันวาคม ค.ศ. 1943)
🔸ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จักรวรรดิญี่ปุ่นเข้ายึดครองดินแดนตังเกี๋ย โคชินไชนา และอันนัม พระองค์เข้าร่วมวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา
🔸บ๋าว ดั่ยมีพระอิสริยยศเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเวียดนามในฐานะรัฐหุ่นเชิดของจักรวรรดิญี่ปุ่น พระอัครมเหสีจึงได้รับการอวยยศเป็นจักรพรรดินีนาม เฟือง ในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1945
🔸ต่อมาใน ค.ศ. 1947 จักรพรรดินีนาม เฟืองและพระราชบุตรเสด็จไปประทับประเทศฝรั่งเศส โดยประทับที่ชาโตทอเรนซ์ นอกเมืองกาน ซึ่งเป็นบ้านของพระอัยกาฝ่ายพระชนนีของบ๋าว ดั่ย
🔸และหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองอาณานิคมโคชินไชนาประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส ค.ศ.1949 บ๋าว ดั๋ยมีตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐ
🔸จนกระทั่ง ค.ศ. 1955 บ่าว ดั๋ย ถูกนายกรัฐมนตรีโง ดิ่ญ เสี่ยมบังคับให้สละราชสมบัติ และแต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเวียดนาม ในปี ค.ศ. 1955
🔸ในปีเดียวกันนั้นนาม เฟือง ทรงแยกทางกับบ๋าว ดั่ย เเต่หลังจากนั้นรัฐบาลเวียดนามใต้ประกาศยึดทรัพย์สินของพระราชวงศ์ ยกเว้นอสังหาริมทรัพย์ของนาม เฟืองก่อนการอภิเษกสมรส รวมถึงวิลลาของดุ๊กแห่งล็องมี พระราชชนก ที่ด่าหลัต ปัจจุบันแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์เลิมด่ง
🔸จักรพรรดินีนาม เฟือง สวรรคตเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1963 จากพระอาการพระหทัยวาย ที่โดแมน-เดอ-ลา-แปร์ช ที่ประทับใกล้ชาร์บีญัก จังหวัดกอแรซ ประเทศฝรั่งเศส
#jarnmooChannel