อบโอโซนฆ่าเชื้อโรคในห้อง สิ่งที่ควรรู้ ก่อนอันตรายถึงชีวิตทั้งคน และสัตว์เลี้ยง
เหตุการณ์อันน่าสลดใจเกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เมื่อเจ้าของสัตว์เลี้ยงรายหนึ่งได้ประสบกับโศกนาฏกรรมจากการใช้เครื่องอบโอโซน เมื่อเครื่องทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจในห้องที่มีแมว 12 ตัวและสุนัขขนาดเล็ก 5 ตัว ผลคือแมวเสียชีวิตไป 4 ตัว และสุนัขอีก 3 ตัวต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล อุบัติเหตุนี้เกิดขึ้นแม้ว่าเจ้าของจะยืนยันว่าได้ปิดเครื่องก่อนขึ้นไปนอน แต่ไม่ได้ถอดปลั๊กไฟออก และคาดว่าเครื่องอาจมีการทำงานอัตโนมัติหรือเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ข่าว อบ โอโซนทำ หมา-แมวตาย ตายเกือบยกบ้าน
จากคลิปวิดีโอที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย เขาเล่าว่าเมื่อลงมาตอนเช้าประมาณ 7 นาฬิกา พบว่าสุนัขทั้ง 5 ตัวมีอาการผิดปกติ ไม่มีแรง แสดงอาการหายใจลำบาก จึงรีบนำสุนัข 3 ตัวไปพบสัตวแพทย์ และเมื่อกลับมาที่บ้านอีกครั้งในเวลาประมาณ 10:30 น. เมื่อเข้าไปตรวจสอบห้องที่เลี้ยงแมว ก็พบแมวนอนเสียชีวิตแล้วถึง 4 ตัว สันนิษฐานว่าเป็นผลจากการที่เครื่องอบโอโซนทำงานโดยที่ห้องไม่มีการระบายอากาศ ทำให้สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นเสมือนถูกรมด้วยก๊าซพิษ
เหตุการณ์นี้เป็นการเตือนภัยสำคัญว่า "ก๊าซโอโซนเป็นก๊าซพิษ" ที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีมนุษย์และสัตว์เลี้ยงอาศัยอยู่ บทความนี้จะให้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการอบโอโซน ทั้งข้อดีและข้อควรระวัง เพื่อให้การใช้งานเทคโนโลยีนี้เกิดประโยชน์สูงสุดและปลอดภัย
อบโอโซน คืออะไร
โอโซน (O₃) เป็นก๊าซที่ประกอบด้วยอะตอมออกซิเจน 3 อะตอม ซึ่งแตกต่างจากออกซิเจนปกติ (O₂) ที่เรารู้จักกัน โครงสร้างโมเลกุลที่ไม่เสถียรนี้ทำให้โอโซนมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการทำปฏิกิริยากับสารอื่นๆ โอโซนเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ผ่านปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ หรือเกิดจากการปล่อยประจุไฟฟ้าในธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นเฉพาะตัวหลังฝนตกใหม่ๆ ที่หลายคนคุ้นเคย
ในชั้นบรรยากาศของโลก โอโซนพบมากในชั้นสตราโทสเฟียร์ (Stratosphere) ที่ความสูงประมาณ 15-35 กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก ซึ่งรู้จักกันในนาม "ชั้นโอโซน" โดยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UV-B) ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต การลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "รูโอโซน" ที่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อก๊าซโอโซนอยู่ใกล้พื้นผิวโลกในชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) กลับกลายเป็นมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์และสัตว์ ในเขตเมืองใหญ่ที่มีมลภาวะสูง โอโซนเกิดจากปฏิกิริยาเคมีแสงระหว่างออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ภายใต้แสงแดด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสภาวะหมอกควันในเมือง
การอบโอโซน คือกระบวนการที่สร้างก๊าซโอโซนอย่างตั้งใจในปริมาณที่เข้มข้น โดยใช้เครื่องผลิตโอโซน (Ozone Generator) เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรค กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และสลายสารพิษในพื้นที่ปิด เทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งการบำบัดน้ำเสีย การรักษาความสะอาดในโรงพยาบาล และการฆ่าเชื้อในอุตสาหกรรมอาหาร ในปัจจุบัน เครื่องอบโอโซนได้แพร่หลายมาสู่การใช้งานในระดับครัวเรือน เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศและสภาพแวดล้อมภายในบ้าน
หลักการอบโอโซน และประโยชน์จากการอบโอโซน
หลักการทำงาน
เครื่องผลิตโอโซนทำงานโดยการแปลงออกซิเจน (O₂) ให้กลายเป็นโอโซน (O₃) ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งที่นิยมมี 2 วิธีหลัก คือ
- การปล่อยประจุโคโรน่า (Corona Discharge) - วิธีนี้ใช้กระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อสร้างการปล่อยประจุไฟฟ้าระหว่างขั้วไฟฟ้าสองขั้ว ทำให้โมเลกุลออกซิเจนแตกตัวและรวมตัวกันใหม่เป็นโอโซน เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเครื่องอบโอโซนสำหรับบ้านและอุตสาหกรรม เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการผลิตที่สมเหตุสมผล
- การใช้รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) - วิธีนี้ใช้หลอดไฟ UV-C ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ (ประมาณ 185 นาโนเมตร) เพื่อทำให้โมเลกุลออกซิเจนแตกตัวและรวมตัวกันใหม่เป็นโอโซน วิธีนี้ผลิตโอโซนได้ในปริมาณน้อยกว่าวิธีแรก แต่มีข้อดีคือไม่ผลิตไนโตรเจนออกไซด์ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ต้องการจากวิธีการปล่อยประจุโคโรน่า
เมื่อโอโซนถูกปล่อยออกมาในอากาศ อะตอมออกซิเจนตัวที่สามจะแยกตัวออกไปทำปฏิกิริยากับสิ่งไม่พึงประสงค์ในอากาศ ทำให้เกิดการออกซิไดซ์ (Oxidation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำลายโครงสร้างโมเลกุลของสารอินทรีย์ เชื้อโรค และเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ
ตามการศึกษาของ Li และคณะ (2021) ในวารสาร Environmental Science & Technology พบว่า โอโซนสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อใช้ที่ความเข้มข้น 0.5-5 ppm เป็นเวลา 10-30 นาที โดยโอโซนจะทำลายโปรตีนและไขมันที่เป็นองค์ประกอบของเปลือกหุ้มไวรัส (Viral Envelope) ทำให้ไวรัสสูญเสียความสามารถในการติดเชื้อ
นอกจากนี้ การศึกษาของ Sharma และคณะ (2020) ในวารสาร Journal of Hazardous Materials ยังแสดงให้เห็นว่า โอโซนมีประสิทธิภาพในการทำลายสารพิษและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้อย่างรวดเร็ว ด้วยกลไกการออกซิเดชั่นที่รุนแรง ทำให้สารเหล่านั้นสลายตัวเป็นโมเลกุลที่ไม่เป็นอันตราย หรือมีขนาดเล็กลงจนถูกกำจัดออกจากอากาศได้ง่าย
ประโยชน์ของการอบโอโซน
- ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส - งานวิจัยจาก Kim และคณะ (2023) ในวารสาร Journal of Infection Control แสดงให้เห็นว่าโอโซนสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ถึง 99.9% รวมถึงเชื้อดื้อยาหลายชนิด เช่น MRSA (Methicillin-resistant Staphylococcus aureus) การทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าโอโซนมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อ E. coli, Salmonella, Listeria และเชื้อที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจอย่าง H1N1 และ Coronaviruses บางสายพันธุ์
- กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ - โอโซนทำลายโมเลกุลที่ก่อให้เกิดกลิ่น ด้วยการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นโดยตรงกับสารประกอบที่มีกลิ่น ไม่ใช่เพียงกลบกลิ่นเหมือนน้ำหอมปรับอากาศทั่วไป การศึกษาของ Zhang และคณะ (2022) พบว่าโอโซนมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดกลิ่นบุหรี่ กลิ่นอาหาร กลิ่นสัตว์เลี้ยง และกลิ่นอับชื้นจากเชื้อรา โดยทำลายโครงสร้างโมเลกุลของสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหล่านั้น
- กำจัดสารก่อภูมิแพ้ - ตามรายงานของ Nakamura และคณะ (2022) ในวารสาร Allergy and Asthma Proceedings พบว่าโอโซนสามารถช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้ถึง 78% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของไรฝุ่น เกสรดอกไม้ และสปอร์เชื้อรา งานวิจัยทางคลินิกพบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาศัยในห้องที่ได้รับการบำบัดด้วยโอโซนมีอาการภูมิแพ้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
- บำบัดน้ำเสีย - โอโซนถูกใช้อย่างแพร่หลายในระบบบำบัดน้ำขนาดใหญ่ ทั้งน้ำดื่มและน้ำเสีย เพื่อฆ่าเชื้อโรคและสลายสารเคมีที่ปนเปื้อน เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมีจากอุตสาหกรรม และฮอร์โมนที่ตกค้างในน้ำ การศึกษาของ Lee และคณะ (2023) ในวารสาร Water Research แสดงให้เห็นว่าการบำบัดด้วยโอโซนสามารถลดปริมาณสารปนเปื้อนในน้ำได้ถึง 90% ภายในเวลาเพียง 15 นาที
- เพิ่มอายุการเก็บรักษาอาหาร - ในอุตสาหกรรมอาหาร โอโซนถูกใช้เพื่อฆ่าเชื้อบนผิวผักและผลไม้ ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา และลดการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค การศึกษาของ Wang และคณะ (2021) พบว่าการใช้น้ำที่ผ่านการบำบัดด้วยโอโซนในการล้างผักและผลไม้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ได้มากกว่า 99% และยืดอายุการเก็บรักษาได้นานขึ้น 2-3 วัน
- ทำลายสารพิษจากอุตสาหกรรม - โอโซนสามารถสลายสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นพิษ เช่น สารเคมีจากอุตสาหกรรม ก๊าซพิษ และสารก่อมะเร็ง ให้กลายเป็นสารที่มีพิษน้อยลงหรือไม่มีพิษเลย งานวิจัยของ Chen และคณะ (2023) แสดงให้เห็นว่าโอโซนสามารถสลาย VOCs (Volatile Organic Compounds) ที่เป็นอันตรายในอากาศภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ 10 เครื่องดื่มช่วยลดไขมันเลว LDL ลดคอเลสเตอรอลในเลือด
✪ ปลาไทยที่มีไขมันดีไม่แพ้ปลาแซลมอน โปรตีนสูง สร้างกล้ามเนื้อและบำรุงสมอง
ข้อควรระวัง และข้อแนะนำการอบโอโซน
อันตรายจากโอโซน
โอโซนเป็นก๊าซพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง สามารถสร้างความเสียหายต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์และสัตว์ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2021 ระบุว่าการสัมผัสกับโอโซนที่ความเข้มข้นเพียง 0.1 ppm เป็นเวลา 8 ชั่วโมง ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยอาจทำให้เกิด:
- ระคายเคืองตาและคอ - โอโซนทำปฏิกิริยากับเยื่อเมือกในตาและคอ ทำให้เกิดการระคายเคือง แสบตา คันคอ และเจ็บคอ ตามการศึกษาของ Brown และคณะ (2022) ในวารสาร Environmental Health Perspectives พบว่าการสัมผัสโอโซนที่ 0.2 ppm เป็นเวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาและคอได้ในคนทั่วไป
- หายใจลำบาก ไอ หอบหืดกำเริบ - โอโซนทำลายเซลล์เยื่อบุในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปอดเกิดการอักเสบ ส่งผลให้หายใจลำบากและมีอาการไอ ผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการกำเริบเมื่อสัมผัสกับโอโซน การศึกษาโดย Chen และคณะ (2022) พบว่าในวันที่มีระดับโอโซนในอากาศสูง มีการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยอาการหอบหืดกำเริบเพิ่มขึ้นถึง 30%
- ปวดศีรษะและคลื่นไส้ - การสัมผัสโอโซนในระดับสูงอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ และอาเจียน เนื่องจากการออกซิเดชั่นของเซลล์ประสาทและการเกิดสารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ในร่างกาย
- ความเสียหายต่อปอดในระยะยาว - การศึกษาทางระบาดวิทยาโดย Turner และคณะ (2023) พบว่าการสัมผัสโอโซนในระดับสูงเป็นเวลานานอาจนำไปสู่การเสื่อมสภาพของปอดอย่างถาวร ลดความจุปอด และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้โอโซนเป็นประจำ
สัตว์เลี้ยงมีความไวต่อผลกระทบของโอโซนมากกว่ามนุษย์ ด้วยระบบทางเดินหายใจที่เล็กกว่า อัตราการหายใจที่เร็วกว่า และการเผาผลาญที่สูงกว่า ทำให้พวกมันได้รับโอโซนเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากกว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัว การศึกษาของ Velez-Perez และคณะ (2023) แสดงให้เห็นว่าสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก เช่น แมวและสุนัขพันธุ์เล็ก มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการหายใจล้มเหลวเมื่อสัมผัสกับโอโซนในระดับที่มนุษย์อาจเพียงแค่รู้สึกไม่สบาย นกและสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กอื่นๆ เช่น หนูแฮมสเตอร์และกระต่าย มีความไวต่อโอโซนมากเป็นพิเศษ
คำแนะนำการใช้งานเครื่องอบโอโซนอย่างปลอดภัย
- ห้ามอยู่ในพื้นที่ขณะอบโอโซน - ไม่ควรมีคนหรือสัตว์เลี้ยงอยู่ในห้องขณะเปิดเครื่องอบโอโซน ตามมาตรฐานคุณภาพอากาศของประเทศไทย โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กำหนดให้ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นโอโซนที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 0.10 ppm ต่อ 1 ชั่วโมง และไม่เกิน 0.07 ppm ต่อ 8 ชั่วโมง ในขณะที่การอบโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพต้องใช้ความเข้มข้นอย่างน้อย 0.5-1.0 ppm ซึ่งเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยหลายเท่า
- ปิดห้องให้มิดชิด - ปิดประตู หน้าต่าง และช่องระบายอากาศในพื้นที่ที่ต้องการอบโอโซน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโอโซนไปยังพื้นที่อื่น ทำการตรวจสอบรอยรั่วต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณขอบประตูและหน้าต่าง ที่อาจทำให้โอโซนรั่วไหลออกไปได้ หากจำเป็น อาจใช้เทปปิดช่องว่างชั่วคราวระหว่างการอบโอโซน
- ใช้ตัวตั้งเวลา - ตั้งเวลาให้เครื่องทำงานในช่วงที่ไม่มีคนและสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน เช่น ระหว่างชั่วโมงทำงาน หรือในช่วงกลางคืนหากครอบครัวต้องออกไปค้างคืนที่อื่น ใช้ตัวตั้งเวลาภายนอก (External Timer) ที่มีคุณภาพดีเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่อง และควรทดสอบการทำงานของตัวตั้งเวลาให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA) แนะนำให้ใช้เวลาในการอบโอโซนไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการสะสมของโอโซนที่มากเกินไป
- รอให้โอโซนสลายตัว - หลังจากอบโอโซนเสร็จ ควรรอประมาณ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง เพื่อให้โอโซนสลายตัวก่อนเข้าไปในห้องอีกครั้ง โอโซนมีครึ่งชีวิต (Half-life) ประมาณ 30 นาทีในสภาพอากาศปกติ หมายความว่าทุก 30 นาที ความเข้มข้นของโอโซนจะลดลงครึ่งหนึ่ง การศึกษาของ Mitchell และคณะ (2022) แนะนำให้รออย่างน้อย 4 เท่าของครึ่งชีวิต หรือประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ระดับโอโซนลดลงเหลือประมาณ 6% ของค่าเริ่มต้น ซึ่งมักจะปลอดภัยพอสำหรับการเข้าไปในพื้นที่
- เปิดระบบระบายอากาศหลังการอบโอโซน - หลังจากรอให้โอโซนสลายตัวในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ควรเปิดประตู หน้าต่าง และเปิดพัดลมระบายอากาศเพื่อช่วยในการระบายโอโซนที่หลงเหลืออยู่ออกไป การศึกษาของ Wu และคณะ (2023) พบว่าการระบายอากาศที่ดีสามารถลดเวลาในการรอให้โอโซนสลายตัวได้ถึง 50% การใช้พัดลมตั้งที่ประตูหรือหน้าต่างเพื่อดูดอากาศออกจากห้องจะช่วยเร่งกระบวนการนี้ได้
- ถอดปลั๊กทุกครั้ง - เมื่อไม่ได้ใช้งาน ควรถอดปลั๊กเครื่องเพื่อป้องกันการทำงานโดยไม่ตั้งใจ เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ที่นำมาเป็นกรณีศึกษาในบทความนี้ ไม่ควรเพียงแค่ปิดสวิตช์เท่านั้น เนื่องจากเครื่องอาจมีระบบอัตโนมัติหรือเกิดการทำงานผิดพลาดเนื่องจากความผิดปกติของวงจรไฟฟ้าได้ ในกรณีที่ต้องการใช้งานโปรแกรมตั้งเวลาอัตโนมัติ ควรตรวจสอบการตั้งค่าอย่างละเอียดและทดสอบระบบก่อนการใช้งานจริง
- ระวังการกัดกร่อน - โอโซนสามารถทำลายวัสดุที่ทำจากยาง พลาสติก เส้นใยผ้า และทำให้สีซีดจาง ควรนำสิ่งของมีค่า เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์ยาง และงานศิลปะออกจากห้องก่อนอบโอโซน การศึกษาของ Taylor และคณะ (2022) ในวารสาร Materials Degradation พบว่าการสัมผัสโอโซนเพียง 1 ppm เป็นเวลา 8 ชั่วโมงสามารถทำให้ยางธรรมชาติเสื่อมสภาพได้ถึง 15% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอโซนจะทำปฏิกิริยากับพันธะคู่ในโครงสร้างโมเลกุลของยาง ทำให้เกิดการแตกของสายโซ่โพลิเมอร์และนำไปสู่การแตกร้าวของผิวยาง ที่เรียกว่า "Ozone Cracking"
- แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ - การอบโอโซนไม่ใช่การแก้ปัญหาถาวร ควรจัดการกับแหล่งที่มาของกลิ่นหรือเชื้อโรคด้วย เช่น ถ้าในห้องมีกลิ่นเหม็นจากขยะ ควรกำจัดขยะก่อนทำการอบโอโซน หรือถ้ามีปัญหาเชื้อราเนื่องจากความชื้น ควรแก้ไขปัญหาความชื้นและกำจัดเชื้อราด้วยวิธีที่เหมาะสมก่อน การศึกษาของ Rodriguez และคณะ (2023) เน้นย้ำว่าการอบโอโซนควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารที่ครอบคลุม ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาแบบเดียว
- อบโอโซนเฉพาะเมื่อจำเป็น - ไม่ควรใช้การอบโอโซนเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่ควรใช้เฉพาะในกรณีที่จำเป็น เช่น หลังการปรับปรุงบ้าน หลังน้ำท่วม หรือเมื่อมีปัญหากลิ่นรุนแรงที่วิธีการปกติไม่สามารถขจัดได้ การศึกษาของ Lin และคณะ (2022) พบว่าการอบโอโซนเป็นประจำอาจนำไปสู่การสะสมของผลิตภัณฑ์พลอยได้จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation By-products) ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้งาน - โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานครั้งแรกหรือในสถานที่พิเศษ เช่น โรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการ หรือพื้นที่ที่มีสารเคมีเฉพาะ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความปลอดภัย หรือผู้ผลิตเครื่องอบโอโซนโดยตรง เพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการอบโอโซน
1. โอโซนแตกต่างจากออกซิเจนอย่างไร?
โอโซน (O₃) ประกอบด้วยอะตอมออกซิเจน 3 อะตอม ในขณะที่ออกซิเจนที่เราหายใจ (O₂) มีเพียง 2 อะตอม โครงสร้างที่แตกต่างนี้ทำให้โอโซนไม่เหมาะกับการหายใจและมีฤทธิ์ในการออกซิไดซ์สูงกว่าออกซิเจนปกติถึง 50 เท่า ตามการศึกษาของ Sharma และ Hudson (2023) ใน Chemical Engineering Journal ระบุว่าพันธะของออกซิเจนตัวที่สามในโมเลกุลโอโซนมีความไม่เสถียร ทำให้มันพร้อมที่จะแยกตัวออกและทำปฏิกิริยากับสารอื่นๆ ได้ง่าย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้โอโซนเป็นสารออกซิไดซ์ที่ทรงพลัง
2. เครื่องอบโอโซนสำหรับบ้านมีความปลอดภัยหรือไม่?
เครื่องอบโอโซนสำหรับบ้านไม่ปลอดภัยหากใช้ผิดวิธี องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ในปี 2020 ได้ออกคำเตือนว่าการใช้โอโซนในบ้านอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่มีหลักฐานเพียงพอที่แสดงว่าโอโซนที่ระดับปลอดภัยจะฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาของ Rivera และคณะ (2022) พบว่าเครื่องอบโอโซนสำหรับบ้านหลายรุ่นผลิตโอโซนในระดับที่เกินมาตรฐานความปลอดภัยมาก แม้จะตั้งค่าที่ระดับต่ำสุด หากคุณเลือกใช้เครื่องอบโอโซนที่บ้าน คุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และไม่ควรอยู่ในห้องในขณะที่เครื่องทำงาน
3. ควรอบโอโซนนานเท่าไรจึงจะมีประสิทธิภาพ?
ระยะเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ขนาดห้อง ความชื้น อุณหภูมิ และวัตถุประสงค์ของการอบโอโซน โดยทั่วไป 30-60 นาทีสำหรับห้องขนาด 20-30 ตารางเมตร แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
การศึกษาของ Garcia-Vidal และคณะ (2022) ในวารสาร Journal of Hospital Infection ระบุว่าการอบโอโซนที่ 2-5 ppm เป็นเวลา 20-30 นาที สามารถลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99% ในสภาพแวดล้อมแบบควบคุม อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ที่มีวัสดุดูดซับเช่นพรม ผ้าม่าน หรือเฟอร์นิเจอร์บุนวม อาจต้องใช้เวลานานขึ้นหรือความเข้มข้นที่สูงขึ้น เพื่อให้โอโซนแทรกซึมเข้าไปในวัสดุเหล่านั้นได้
สำหรับการกำจัดกลิ่นรุนแรง เช่น กลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นไฟไหม้ อาจต้องใช้เวลาถึง 2-3 ชั่วโมง ตามการศึกษาของ Torres และคณะ (2022) แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในกรณีนี้ เนื่องจากการใช้โอโซนในระยะเวลายาวนานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลพลอยได้จากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
4. หากสูดดมโอโซนเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ ควรทำอย่างไร?
ควรออกจากพื้นที่ที่มีโอโซนทันที ไปยังที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือวิงเวียนศีรษะ ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC, 2023) แนะนำให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหากรู้สึกระคายเคือง และดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำคอ
ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืดหรือถุงลมโป่งพอง ควรพกยาประจำตัวติดตัวเสมอและใช้ทันทีหากมีอาการกำเริบ บุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยที่สัมผัสโอโซนควรสังเกตอาการบวมของทางเดินหายใจและให้ออกซิเจนเสริมหากจำเป็น อาการจากการสัมผัสโอโซนอาจปรากฏช้าได้ถึง 24 ชั่วโมง ดังนั้นควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดแม้จะรู้สึกดีขึ้นแล้วในช่วงแรก
5. เครื่องอบโอโซนสำหรับบ้านต่างจากเครื่องฟอกอากาศอย่างไร?
เครื่องฟอกอากาศทั่วไปใช้ตัวกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) หรือตัวกรองคาร์บอนเพื่อดักจับอนุภาคและสารระเหย ในขณะที่เครื่องอบโอโซนผลิตก๊าซโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรค องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA, 2022) แนะนำให้ใช้เครื่องฟอกอากาศมากกว่าเครื่องอบโอโซนสำหรับการใช้งานในบ้านประจำวัน
ความแตกต่างที่สำคัญคือ เครื่องฟอกอากาศสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่มีคนอยู่ในห้อง และไม่ก่อให้เกิดสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในขณะที่เครื่องอบโอโซนต้องใช้ในห้องที่ไม่มีคนหรือสัตว์ การศึกษาของ Long และคณะ (2022) ในวารสาร Building and Environment พบว่าเครื่องฟอกอากาศที่ใช้ตัวกรอง HEPA สามารถกำจัดอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 99.97% รวมถึงไวรัสและแบคทีเรียขนาดเล็ก โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ
นอกจากนี้ เครื่องฟอกอากาศที่มีตัวกรองคาร์บอนยังสามารถดูดซับกลิ่นและสารเคมีระเหยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำปฏิกิริยากับวัสดุในห้อง จึงมักเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับการใช้งานประจำวัน ในกรณีที่ต้องการทั้งการฟอกอากาศและการฆ่าเชื้อ อาจพิจารณาใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบ UV-C ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคได้โดยไม่ปล่อยโอโซนสู่สิ่งแวดล้อม
6. โอโซนสามารถกำจัดเชื้อรา (Mold) ได้หรือไม่?
โอโซนสามารถฆ่าเชื้อราที่อยู่บนพื้นผิวได้ แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อราที่ฝังอยู่ในวัสดุพรุน เช่น ไม้ ผนังยิปซัม หรือฉนวนกันความร้อน ตามการศึกษาของ Wong และคณะ (2023) ในวารสาร Indoor Air พบว่าการใช้โอโซนอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการกำจัดปัญหาเชื้อราในบ้าน เนื่องจากโอโซนไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในวัสดุที่เชื้อราเติบโตอยู่ได้ลึกพอ
นอกจากนี้ การศึกษาของ Martinez-Gonzalez และคณะ (2023) ยังพบว่าแม้โอโซนจะสามารถฆ่าเชื้อราได้ในระยะสั้น แต่หากไม่แก้ไขปัญหาความชื้นที่เป็นต้นเหตุ เชื้อราจะกลับมาเติบโตอีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว วิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการกำจัดเชื้อราคือการควบคุมความชื้น (ให้ต่ำกว่า 60%) การปรับปรุงการระบายอากาศ และการกำจัดวัสดุที่มีเชื้อราซึ่งไม่สามารถทำความสะอาดได้
ในกรณีที่มีปัญหาเชื้อรารุนแรง การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญในการกำจัดเชื้อรา (Mold Remediation Specialist) จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการพยายามใช้โอโซนในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจไม่ได้ผลและยังเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพจากการสัมผัสโอโซนโดยไม่จำเป็น
7. อบโอโซนบ่อยแค่ไหนจึงจะเหมาะสม?
สำหรับบ้านทั่วไป ไม่ควรอบโอโซนเป็นประจำ ควรใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น เช่น หลังการปรับปรุงบ้าน หลังน้ำท่วม หรือเมื่อมีกลิ่นรุนแรงที่กำจัดยาก การศึกษาโดย Martinez และคณะ (2023) แนะนำว่าไม่ควรอบโอโซนมากกว่าเดือนละครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการกัดกร่อนวัสดุภายในบ้านและการสะสมของผลพลอยได้จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น คลินิก หรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ อาจมีการใช้โอโซนเพื่อการฆ่าเชื้อบ่อยกว่า แต่ควรทำภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญและมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด การศึกษาของ Ramos และคณะ (2022) แนะนำให้ใช้การผสมผสานระหว่างวิธีการฆ่าเชื้อหลายรูปแบบ เช่น การทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ ร่วมกับการอบโอโซนเป็นครั้งคราวในช่วงที่ไม่มีผู้ใช้บริการ
สำหรับการใช้งานในครัวเรือนทั่วไป การทำความสะอาดปกติ การระบายอากาศที่ดี และการใช้เครื่องฟอกอากาศแบบ HEPA จะเป็นวิธีการจัดการคุณภาพอากาศภายในบ้านที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าการอบโอโซนเป็นประจำ
8. เครื่องอบโอโซนต่างจากเครื่องกำเนิดไอออนลบอย่างไร?
เครื่องกำเนิดไอออนลบปล่อยอิเล็กตรอนที่มีประจุลบเพื่อดักจับอนุภาคฝุ่น ในขณะที่เครื่องอบโอโซนผลิตก๊าซโอโซนที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อโรค เครื่องกำเนิดไอออนลบมีความปลอดภัยมากกว่าสำหรับการใช้งานต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีคนอยู่ (Shiue, 2021) แม้ว่าอาจมีการผลิตโอโซนในปริมาณเล็กน้อยเป็นผลพลอยได้ในบางรุ่น
การทำงานของเครื่องกำเนิดไอออนลบเริ่มจากการปล่อยอิเล็กตรอนหรือไอออนลบสู่อากาศ ไอออนลบเหล่านี้จะเข้าไปเกาะที่อนุภาคในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือสปอร์เชื้อรา ทำให้อนุภาคเหล่านั้นมีประจุไฟฟ้า และถูกดึงดูดให้ตกลงบนพื้นผิวที่มีประจุตรงข้าม เช่น พื้น ผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ หรือถูกดักจับโดยแผ่นกรองประจุไฟฟ้าในเครื่อง
งานวิจัยของ Watanabe และคณะ (2022) ในวารสาร Aerosol Science and Technology พบว่าเครื่องกำเนิดไอออนลบสามารถลดปริมาณอนุภาคขนาดเล็กในอากาศได้ถึง 80% ในพื้นที่ขนาด 30 ตารางเมตร ภายในเวลา 1 ชั่วโมง โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคต่ำกว่าเครื่องอบโอโซนอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อดีของเครื่องกำเนิดไอออนลบคือสามารถทำงานต่อเนื่องในขณะที่มีผู้คนอยู่ในห้อง ไม่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ และไม่ต้องรอเวลาให้อากาศปลอดภัยก่อนกลับเข้าห้อง อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังคือ อาจทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นบนพื้นผิวในห้อง ซึ่งต้องทำความสะอาดเป็นประจำ และบางรุ่นอาจผลิตโอโซนเป็นผลพลอยได้ ดังนั้นควรเลือกรุ่นที่ได้รับการรับรองว่าปล่อยโอโซนในระดับที่ปลอดภัย
9. เครื่องอบโอโซนแบบพกพาที่ขายในท้องตลาดมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่?
เครื่องอบโอโซนแบบพกพาขนาดเล็กที่วางขายตามท้องตลาดและผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มักมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่โฆษณาไว้มาก การศึกษาของ Park และคณะ (2023) ในวารสาร Consumer Product Safety ทำการทดสอบเครื่องอบโอโซนแบบพกพา 20 รุ่นที่มีขายทั่วไปและพบว่ามีเพียง 15% ที่สามารถผลิตโอโซนในระดับที่เพียงพอสำหรับการฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ มีความกังวลด้านความปลอดภัย เนื่องจากเครื่องเหล่านี้มักขาดระบบการควบคุมคุณภาพที่ดี ไม่มีอุปกรณ์ตรวจวัดความเข้มข้นของโอโซน และคำแนะนำด้านความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ หลายรุ่นมีการโฆษณาว่าสามารถใช้ในห้องที่มีคนอยู่ได้ ซึ่งขัดกับคำแนะนำด้านความปลอดภัยจากองค์กรด้านสาธารณสุข
แม้ว่าเครื่องบางรุ่นอาจมีประโยชน์ในการกำจัดกลิ่นในพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ตู้เสื้อผ้าหรือห้องน้ำ แต่ไม่ควรคาดหวังประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคเทียบเท่ากับเครื่องระดับอุตสาหกรรม หากจำเป็นต้องใช้เครื่องอบโอโซนเพื่อการฆ่าเชื้อ ควรเลือกเครื่องจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองมาตรฐาน
10. ระบบโอโซนสำหรับบำบัดน้ำในสระว่ายน้ำแตกต่างจากเครื่องอบโอโซนอย่างไร?
ระบบโอโซนสำหรับสระว่ายน้ำถูกออกแบบมาเพื่อบำบัดน้ำโดยเฉพาะ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อปล่อยโอโซนเข้าสู่อากาศ ตามการศึกษาของ Rodriguez-Chueca และคณะ (2022) ในวารสาร Water Research ระบบเหล่านี้จะผลิตโอโซนและนำไปละลายในน้ำโดยตรงผ่านระบบท่อหรือหัวพ่น โดยโอโซนจะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคและออกซิไดซ์สารอินทรีย์ในน้ำ ช่วยลดการใช้คลอรีนและสารเคมีอื่นๆ
ระบบโอโซนสำหรับสระว่ายน้ำมีความปลอดภัยมากกว่าเครื่องอบโอโซนในอากาศ เนื่องจากโอโซนส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปในการทำปฏิกิริยากับสิ่งปนเปื้อนในน้ำ และมีโอกาสน้อยที่จะแพร่กระจายสู่อากาศในปริมาณที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม ระบบเหล่านี้ยังคงต้องมีการออกแบบอย่างเหมาะสม มีระบบตรวจวัดและควบคุมโอโซนที่อาจหลุดรอดสู่อากาศ และต้องได้รับการดูแลรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
การศึกษาของ Chowdhury และคณะ (2023) พบว่าระบบโอโซนในสระว่ายน้ำที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมสามารถลดปริมาณคลอรีนที่ใช้ได้ถึง 50-75% และลดการเกิดสารพลอยได้จากคลอรีน (Chlorination By-products) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้น้ำในสระว่ายน้ำมีความปลอดภัยมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน
สรุป อันตรายการอบโอโซนในห้อง และสิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้งาน
การอบโอโซนเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคและกำจัดกลิ่น แต่มาพร้อมความเสี่ยงที่สำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง เหตุการณ์น่าเศร้าที่เกิดขึ้นกับสัตว์เลี้ยงในช่วงสงกรานต์เป็นเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนถึงอันตรายของการใช้เครื่องอบโอโซนอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีสัตว์เลี้ยงซึ่งมีความไวต่อผลกระทบของโอโซนมากกว่ามนุษย์
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าโอโซนสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา รวมถึงทำลายกลิ่นและสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพนี้มาพร้อมกับความเข้มข้นของโอโซนที่สูงเกินกว่าระดับปลอดภัยสำหรับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง
หากจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการไม่อยู่ในห้องที่กำลังอบโอโซน การปิดห้องให้มิดชิด การรอให้โอโซนสลายตัวก่อนกลับเข้าไปในห้อง และที่สำคัญที่สุดคือ การถอดปลั๊กเครื่องเมื่อไม่ได้ใช้งาน เพื่อป้องกันการทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจนำไปสู่โศกนาฏกรรมได้
สำหรับการใช้งานประจำวัน เครื่องฟอกอากาศที่ใช้ตัวกรอง HEPA และคาร์บอนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับการปรับปรุงคุณภาพอากาศในบ้าน เนื่องจากสามารถทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องอพยพผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงออกจากพื้นที่ และไม่ก่อให้เกิดสารพิษหรือผลพลอยได้ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ในกรณีที่ต้องการฆ่าเชื้อโรคหรือกำจัดกลิ่นอย่างเฉพาะเจาะจง การทำความสะอาดปกติด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม การระบายอากาศที่ดี และการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น การกำจัดแหล่งกำเนิดกลิ่นหรือการควบคุมความชื้นเพื่อป้องกันเชื้อรา มักจะเพียงพอและปลอดภัยกว่าสำหรับสถานการณ์ทั่วไป
ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการอบโอโซน ทั้งประโยชน์และความเสี่ยง จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะกับความต้องการของคุณหรือไม่ และจะใช้อย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุอันน่าเศร้าที่อาจเกิดขึ้นกับคนที่คุณรักและสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ กลิ่นสีในบ้านใหม่ อันตรายใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด!
✪ ผลไม้บ่มสุก ดีจริงเหมือนผลไม้ที่สุกเองตามธรรมชาติหรือไม่?
✪ จสีควันรถยนต์แต่ละประเภทกำลังบ่งบอกถึงอะไรบ้าง?
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ
4 นักษัตรดวงเศรษฐี ยิ่งอายุมากยิ่งเงินไหลมา—ช่วงพีคอยู่ที่วัยกลางคน
เกิดเหตุเตาแก๊สกระป๋องระเบิดในร้านอาหาร
AI วิเคราะห์เลขท้าย 2 ตัว งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..โดยใช้สถิติย้อนหลัง 20 ปี
ทหารไทยพบหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ ยืนยันว่า มี "มหาอำนาจ" แอบส่งอาวุธหนักทันสมัยให้เขมร
"ฝนดาวตกเจมินิดส์" กับคำอธิษฐานบนฟากฟ้า
นางเอกดัง "เหอ ชิง" เสียชีวิตแล้ว
ชายแดนไทย -กัมพูชาดุเดือดทหารเขมรระดมยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีใส่พื้นที่ช่องอานม้า ทหารไทยไม่รอช้าโต้กลับทันที
ดาราดัง "ดิก แวน ไดก์" อายุครบ 100 ปีแล้ว!!
11 นายกรัฐมนตรีไทย ที่วาระการดำรงตำแหน่งไม่ครบปี
มาเลเซียเตรียมจัดการประชุมพิเศษอาเซียน ว่าด้วยเหตุปะทะบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย
ทรัมป์ยันจะตอบโต้ หลังทหารมะกัน 2 นาย และ ล่ามพลเรือน 1 ราย เสียชีวิตในซีเรีย
เครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ประสบเหตุขัดข้องกลางอากาศ เลยบินวกกลับที่เดิม
แนะนำ! เว็บไซต์ ai สามารถวาดรูป [l8+](สร้างฟรี) ผู้ใหญ่เท่านั้น
"ฝนดาวตกเจมินิดส์" กับคำอธิษฐานบนฟากฟ้า
เกิดเหตุเตาแก๊สกระป๋องระเบิดในร้านอาหาร
ธงไทยโบกสะบัด 14 ธ.ค. 68 เวลา 07.00 น. นาวิกโยธิน ปักธงชาติไทย ยึดคืนและควบคุมพื้นที่บ้านสามหลัง จ.ตราด สำเร็จ!
ทหารไทยพบหลักฐานชิ้นสำคัญ ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ ยืนยันว่า มี "มหาอำนาจ" แอบส่งอาวุธหนักทันสมัยให้เขมร
“นายกฯ” ยืนยันเดินหน้าทางทหารจนพ้นภัยคุกคาม โต้ “ทรัมป์” ว่าระเบิดไม่ใช่อุบัติเหตุ
หนุ่มไทยร้องไห้ระงม! "มันแกว นมคุณธรรม" ท้องแล้วจ้า!!
การนอนหลับมีความสัมพันธ์กันกับสุขภาพจิต ปัญหาโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคอารมณ์สองขั้ว หากนอนไม่หลับ นอนหลับไม่พอ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตได้
Emotional Weather Forecast พยากรณ์อารมณ์ ทักษะการเป็นเพื่อนที่ดีกับหัวใจตัวเอง
Work life harmony ความกลมกลืนระหว่างการทำงาน และ การใช้ชีวิต นั่งทำงานไปด้วยและพักผ่อนไปในตัว เคล็ดลับในการบรรลุความสมดุลในชีวิต









