วัดอนันดา (Ananda Temple)
**วัดอนันดา** (พม่า: အာနန္ဒာ ဘုရား, อ่านว่า \[ànàɰ̃dà pʰəjá]) ตั้งอยู่ที่พุกาม ประเทศเมียนมา เป็นวัดพุทธที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1105 ในรัชสมัยของพระเจ้ากยันสิตถา (พระเจ้าอาถีไหลง์หม่อง) แห่งราชวงศ์พุกาม (ครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1084–1112/13) แผนผังของวัดเป็นรูปกางเขน โดยมีระเบียงหลายชั้นนำไปสู่เจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านบน ครอบด้วยฉัตรที่เรียกว่า “**ตี**” (hti) ซึ่งเป็นยอดประดับเจดีย์ที่พบได้ทั่วไปในเมียนมา
วัดแห่งนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปยืน 4 องค์ หันหน้าไปยังทิศหลักทั้งสี่ ได้แก่ ทิศตะวันออก เหนือ ตะวันตก และใต้ ว่ากันว่าวัดอนันดาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมมอญและสถาปัตยกรรมอินเดียที่ถูกนำมาดัดแปลงอย่างงดงาม วัดที่โดดเด่นนี้ยังได้รับสมญานามว่า “**เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์แห่งพม่า**”วัดอนันดายังมีความคล้ายคลึงกับวัดปะโถธัญญา (Pathothamya) ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 10–11 และได้รับการขนานนามว่าเป็น “**พิพิธภัณฑ์แห่งหินอย่างแท้จริง**”
วัดนี้ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1975 แต่ได้รับการบูรณะอย่างเต็มรูปแบบ และได้รับการดูแลรักษาอย่างดี โดยมีการทาสีและฉาบปูนผนังเป็นระยะ ๆ ในวาระครบรอบ 900 ปีของการสร้างวัดในปี ค.ศ. 1990 ยอดเจดีย์ได้รับการปิดทองคำเปลว วัดอนันดานับเป็นวัดที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในเมืองพุกาม
รากศัพท์ของชื่อ
ชื่อ “**อนันดา**” ของวัดนี้ มาจากพระอนันดา พระญาติฝ่ายแม่ของพระพุทธเจ้า ผู้ทำหน้าที่เลขานุการส่วนพระองค์ เป็นหนึ่งในสาวกเอกและผู้รับใช้ ที่จงรักภักดีของพระพุทธองค์ เดิมวัดแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า **วัดอนันตะ** ซึ่งมาจากวลี “อนันตปิญญา” (ananta pinya) ในภาษาสันสกฤต แปลว่า “ปัญญาอันไม่มีที่สิ้นสุด”
คำว่า “**Ānanda**” ในภาษาปาลี สันสกฤต และภาษาอินเดียอื่น ๆ แปลว่า “ความสุข” หรือ “ความปีติยินดี” ซึ่งเป็นคำที่นิยมในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู ชื่อ “อนันดา” ของวัดนี้จึงเป็นการรำลึกถึงคุณลักษณะของพระพุทธเจ้า คือ “อนันตปิญญา” หรือ “ปัญญาอันไม่มีที่สิ้นสุด”
ตำนาน
ตำนาน เกี่ยวกับการสร้างวัดอนันดา จบลงด้วยโศกนาฏกรรม มีพระสงฆ์ 8 รูปเดินทางมาขอรับบิณฑบาต จากพระเจ้ากยันสิตถา พร้อมเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับวัดถ้ำนันทมูล ในเทือกเขาหิมาลัย ที่พวกท่านเคยไปปฏิบัติธรรม เมื่อพระราชาทรงสนใจ จึงเชิญพระเหล่านั้นเข้าสู่พระราชวัง เพื่อฟังเรื่องเพิ่มเติม พระเหล่านั้นใช้ญาณสมาธิ แสดงภาพจำลองสถานที่ในจิต ให้พระองค์เห็นอย่างชัดเจน พระองค์ทรงพอพระทัย และขอให้พระสงฆ์ทั้ง 8 รูปช่วยกันสร้างวัดในทุ่งพุกาม ที่มีสภาพเย็นสบายคล้ายวัดถ้ำนันทมูล
เมื่อวัดอนันดาสร้างเสร็จ พระราชาทรงหวั่นเกรงว่า จะมีการสร้างวัดเช่นเดียวกันที่อื่น จึงสั่งประหารพระผู้สร้าง เพื่อให้วัดนี้ คงเอกลักษณ์ไว้แต่เพียงแห่งเดียวในพุกาม
นักวิชาการ **ฌอร์จ โกเดส์ (George Coedes)** ให้ข้อมูลต่างออกไปว่า สถาปนิกและเด็กคนหนึ่งถูกฝังทั้งเป็น เพื่อเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์วัด
ประวัติศาสตร์
การสร้างวัดอนันดาในปี ค.ศ. 1105 เป็นผลงานของพระเจ้ากยันสิตถา และถือเป็นการปิดฉาก “**ยุคต้นแห่งพุกาม**” และเริ่มต้น “**ยุคกลางแห่งพุกาม**” การสร้างวัดนี้ เป็นผลจากกระบวนการศึกษาธรรม ที่เริ่มต้นในช่วงการสร้างวัดปะโถธัญญาในปี ค.ศ. 1080
พระเจ้ากยันสิตถา ซึ่งหันมานับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาท มีความตั้งใจจะถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างถูกต้องแท้จริงแก่ประชาชน เพื่อให้ชาวพม่ารวมใจเป็นหนึ่งเดียว และกระตุ้นความศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระองค์มีเจตนารมณ์ชัดเจน ดังข้อความที่สื่อว่า:
“จะชำระล้างและตั้งมั่น บันทึกและประกาศพระธรรม จะส่งเสียงพระธรรมดั่งเสียงกลอง จะปลุกผู้ที่หลับใหล และจะตั้งมั่นในการรักษาศีลธรรมอยู่เสมอ”
ภาพสลักหิน แผ่นชาดกที่มีหมายเลข และพระพุทธรูปยืนในวัด ซึ่งวางผังแบบสมมาตร เป็นเครื่องมือของพระเจ้ากยันสิตถา ในการถ่ายทอดพระธรรมให้ประชาชนเข้าใจ ผ่านงานศิลปะและสถาปัตยกรรม
ประวัติด้านสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมของวัดอนันดาได้รับการศึกษาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง แม้จะเห็นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมมอญแบบพม่า แต่ก็มีอิทธิพลของศิลปกรรมอินเดีย โดยเฉพาะจากรัฐเบงกอลและโอริสสาอย่างชัดเจน
นักโบราณคดี **ดูรัวแซล (Duroiselle)** กล่าวว่า:
“ไม่มีข้อสงสัยว่าสถาปนิกที่วางแผนและก่อสร้างวัดอนันดาเป็นชาวอินเดีย ทุกองค์ประกอบของวัด ตั้งแต่ยอดชิขระถึงฐานราก ประติมากรรมหินที่พบตามทางเดิน แผ่นดินเผาตกแต่งที่ฐานและระเบียง ล้วนแสดงให้เห็นถึงฝีมือและความสามารถของช่างฝีมืออินเดียอย่างชัดเจน…ในแง่นี้ เราอาจกล่าวได้ว่าวัดอนันดาแม้จะสร้างในเมืองหลวงของพม่า แต่มันคือวัดอินเดียโดยแท้”
ยังกล่าวกันว่า สถาปัตยกรรมของวัดอนันดานี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากวัดถ้ำอนันตะ ในเขาอุทัยคีรี (Udayagiri Hills) แห่งรัฐโอริสสา ประเทศอินเดีย
สถาปัตยกรรม
วัดอนันดา เป็นโครงสร้างที่มีมิติสมบูรณ์แบบในเชิงศิลปะ เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบมอญและอินเดีย และถือเป็นโบราณสถานหลักในหุบเขาพุกาม สร้างขึ้นด้วยอิฐและปูนพลาสเตอร์ พร้อมด้วยภาพลักษณ์เชิงสัญลักษณ์ทางศาสนา ทั้งรูปสลักหินและแผ่นกระเบื้องเคลือบดินเผา (terra-cotta) โดยมีจุดประสงค์หลัก เพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชน ในเรื่องหลักธรรมของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ตามแนวความเชื่อส่วนบุคคล ของพระเจ้าเจียนสิทธา
แผนผัง
โครงสร้างของวัดเป็นทางเดินที่เรียบง่าย มีจัตุรัสตรงกลางขนาด 53 เมตร (174 ฟุต) โดยมีระเบียงหลังคาแบบหน้าจั่วยื่นออกไป 17 เมตรจากแต่ละด้าน ความสูงของยอดสิ่งปลูกสร้างคือ 51 เมตร (167 ฟุต) ซึ่งประกอบด้วยชั้นระเบียงตกแต่งจำนวนหลายชั้น ความยาวทั้งหมดของวัด จากปลายด้านหนึ่งไปอีกด้าน คือประมาณ 88 เมตร
แผนผังวัดใช้รูปทรงไม้กางเขน โดยมีฐานสี่เหลี่ยมที่รองรับหลังคาโค้งสองชั้นซ้อนกัน และมีระเบียงสี่ชั้นลดหลั่นขึ้นไปสู่ยอด ซึ่งสิ้นสุดที่เจดีย์ขนาดเล็กและฉัตรที่เรียกว่า "hti" ซึ่งเป็นเครื่องประดับยอดเจดีย์ที่พบได้ทั่วไปในเมียนมา ส่วนแกนกลางของวัดมีรูปทรงเป็นลูกบาศก์ ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ 4 องค์หันหน้าไปยังแต่ละทิศ ทั้งสี่องค์สูง 9.5 เมตร (31 ฟุต) ยืนอยู่เหนือฐานสูง 2.4 เมตร
ยอดเจดีย์อยู่เหนือโครงสร้างรูปทรงลูกบาศก์นี้ โดยมีทางเดินสองชั้นล้อมรอบ ตกแต่งด้วยภาพพุทธประวัติในรูปแบบของแผ่นกระเบื้องดินเผาเคลือบสี (จำนวน 554 แผ่น) ประดับตามฐาน ผนังด้านข้าง และระเบียง ชั้นทางเข้าทั้งสี่มีประตูไม้สักแกะสลัก และแต่ละทางเข้า จะมีพระพุทธรูปยืนประดิษฐานอยู่ภายในในอิริยาบถที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งมีเจดีย์ขนาดเล็ก ประดับยอดแต่ละประตูด้วย
ทางเดินวงรอบทั้งสองชั้นมีหลังคาโค้ง ภายในตกแต่งด้วยรูปสลักหินภูเขาไฟจำนวน 80 ภาพ แสดงเหตุการณ์ในพุทธประวัติจากประสูติจนถึงปรินิพพาน และยังมีทางเดินย่อยที่เชื่อมต่อทางเข้ากับบริเวณพระพุทธรูปยืนด้วย ผนังภายนอกของวัดสูง 12 เมตร ประดับด้วยผนังป้อมปราการจำลอง ที่มีเจดีย์ขนาดเล็กประดับอยู่ตามมุมทั้งสี่
พระพุทธรูปยืน
* พระกัสสปะ – หันหน้าไปทางทิศใต้
* พระกกุสันธะ – หันหน้าไปทางทิศเหนือ
* พระโกนาคมนะ – หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
* พระโคตมะ – หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
พระพุทธรูปยืนทั้งสี่องค์ ถูกประดับด้วยทองคำเปลว และหันหน้าไปยังแต่ละทิศ เพื่อสื่อถึงการตรัสรู้เข้าสู่นิพพาน องค์พระแต่ละองค์มีนามเฉพาะ เช่น กัสสปะ (พระพุทธเจ้าพระองค์ที่สามในปัจจุบันกัป – ภัททกัป) หันใต้, กกุสันธะ (องค์แรกในภัททกัป) หันเหนือ, โกนาคมนะ (องค์ที่สองในภัททกัป) หันตะวันออก และโคตมะ หันตะวันตก พระพุทธรูปที่หันไปทางเหนือและใต้เชื่อว่าเป็นของดั้งเดิมในยุคพุกาม แสดงอิริยาบถ "ธรรมจักรมุทรา" (การแสดงธรรมครั้งแรก) ส่วนอีกสององค์เป็นของใหม่ที่สร้างขึ้นแทนของเดิมที่ถูกไฟไหม้
พระพุทธรูปทั้งสี่ทำจากไม้สักท่อนเดียว (บางแหล่งกล่าวว่าองค์ใต้ทำจากโลหะผสม) พระพุทธรูปเหล่านี้เรียกว่า "พุทธเจ้าแห่งยุคปัจจุบัน" เป็นสัญลักษณ์ของความมีอยู่ของพระพุทธเจ้าทั่วทุกกาลเวลา
พระกัสสปะที่หันหน้าไปทางใต้ แสดงให้เห็นถึงศิลปะที่มีความละเอียดอ่อน กล่าวคือเมื่อมองใกล้จะดูเหมือนมีสีหน้าเศร้า แต่เมื่อมองไกลกลับเห็นเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
พระโกนาคมนะที่หันตะวันออก แสดงท่าทางพิเศษคือถือวัตถุคล้ายเมล็ดพืชหรือสมุนไพรเล็ก ๆ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลาง เป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงพระธรรมเปรียบเสมือนยารักษาความทุกข์ เป็นอิริยาบถที่ไม่พบในศิลปะพุทธแบบอื่นนอกเหนือจากที่นี่
พระโคตมะที่หันตะวันตก แสดง "อภัยมุทรา" – มือยกขึ้นในท่าทางแห่งความไม่หวาดกลัว ที่ฐานพระองค์นี้มีรูปปั้นขนาดเท่าคนจริงของพระเจ้าเจียนสิทธาในท่าคุกเข่าไหว้ และพระมหาเถระชินอรหันต์ พระภิกษุมอญผู้ชักนำพระราชาเข้าสู่พระพุทธศาสนาเถรวาท และยังเป็นผู้สถาปนาพระองค์เป็นกษัตริย์อีกด้วย บริเวณระเบียงด้านตะวันตก ยังมีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานบนฐานด้วย ใต้พระรูปของพระเจ้าเจียนสิทธายังมีจารึกว่าพระองค์ทรงถือว่าตนเป็น "พระโพธิสัตว์ จักรพรรดิ และอวตารของพระวิษณุ"
ภาพจิตรกรรม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในห้องสวดมนต์ของวัด ส่วนใหญ่ถูกฉาบทับด้วยปูนขาว อย่างไรก็ตาม บางส่วนของภาพจิตรกรรมที่ยังสามารถเห็นได้บนเสาตะวันตกเฉียงใต้ของห้องสวดมนต์ด้านเหนือได้รับการบูรณะโดยกรมโบราณคดีแห่งเมียนมา ภาพจิตรกรรมที่ยังคงอยู่ในสภาพดี ได้แก่ บนผนังและเพดานของห้องสวดมนต์ด้านตะวันออก, ภาพของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอีกครั้งทางเหนือของพระพุทธรูปยืน, ภาพพระอรหันต์และดอกบัว และลวดลายดอกไม้บริเวณทางเข้าด้านตะวันตก
โครงสร้างอื่น ๆ
อานันทะอกฺข ยังเป็นอารามก่ออิฐ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดอนันดา สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1680 (ค.ศ. 1137) ภาพจิตรกรรมฝาผนังจากศตวรรษที่ 18 ยังคงปรากฏอยู่บนผนังของอาราม พร้อมด้วยจารึกที่ระบุว่าผู้สร้างอารามคือพี่น้องสามคน พระภิกษุผู้เป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงชื่อว่า พระชินธุดธัมมลิงการะ (Shin Thuddhammalinkara) เคยจำพรรษาอยู่ที่นี่
ประตูธาราภะ (Tharabha Gate)
ประตูธาราภะ เป็นประตูแห่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ของเมืองพุกามโบราณ (เดิมชื่อเมืองปุกาม) วัดอนันดาตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประตูนี้ คำว่า "ธาราภะ" มาจากภาษาบาลีคำว่า “สรภังคะ” (Sarabhanga) ซึ่งแปลว่า “ป้องกันลูกศร” ประตูธาราภะเป็นหนึ่งในประตูเข้าเมืองทั้ง 12 แห่งของเมืองพุกามที่สร้างโดยพระเจ้าแปงพญา (Pyinbya) เมื่อปี พ.ศ. 1392 (ค.ศ. 849) ปัจจุบันยังสามารถเห็นลวดลายปูนปั้นรูปยักษ์อยู่บนประตูนี้ เชื่อกันว่ามีวิญญาณสองตนคอยปกปักรักษาประตู คือ พี่ชายชื่อมหาคิรี (Mahagiri – “เจ้าแห่งภูเขาใหญ่”) อยู่ด้านซ้าย และน้องสาวชื่อหนามะดอว์จี (Hnamadawgyi – “หน้าทอง”) อยู่ด้านขวา
พิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ภาคสนามได้ถูกจัดตั้งขึ้นใกล้กับวัดอนันดาในเมืองพุกาม โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาวัตถุโบราณในบริบทที่ใกล้เคียงกับสถานที่ดั้งเดิมของมัน
เทศกาล
วัดแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลประจำปีซึ่ งกินเวลานานหนึ่งสัปดาห์ ในช่วงเดือนปยะโถ (ธันวาคมถึงมกราคม) ในช่วงเทศกาลนี้ พระภิกษุจำนวน 1,000 รูปจะร่วมสวดพระสูตรอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 72 ชั่วโมง ชาวบ้านนับพันจากพื้นที่ห่างไกลจะมาตั้งค่ายพักอยู่รอบวัด ในเช้าของวันเพ็ญเดือนนั้น พวกเขาจะนำถาดของถวายมอบแด่พระภิกษุผู้มาร่วมในพิธี









