“The Holy Crown of Thorns” “อภินิหารมงกุฎหนามศักดิ์สิทธิ์" บุรุษผู้ที่ต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่..ที่ต้องเจอกับคำดูหมิ่นและเจ็บปวดบนไม้กางเขน
ถ้าทุกคนเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้คนเรานั้นเป็น "คนดี" ดังนั้นศาสนาคริสต์ก็คงเป็นอีกหนึ่งศาสนาบนโลกใบนี้ ที่มีหลักคำสอนที่ดีเช่นกัน และถ้าคุณเชื่อว่าทุกศาสนาก็ย่อมมีเรื่องราวอภินิหารสิ่งอัศจรรย์ตามความเชื่อแล้วละก้อ ศาสนาคริสต์ตามความเชื่อและความศรัทธาของศาสนิกชนก็คงจะมีเฉกเช่นเดียวกัน
จากบุรุษที่ต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่จากเบื้องบน ด้วยการต้องถูกดูหมิ่นเหยียดหยาด และการได้รับความเจ็บปวดแสนทรมาน จนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จนถูกยกย่องให้เป็น "พระศาสดาในนามพระเยซูคริสต์"
พระองค์ถูกประหารเมื่อปี ค.ศ.33 หลังจากนั้นมงกุฏหนามนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังผู้ถือครองต่างๆ ในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งในอดีตผู้คนเชื่อว่าหนามของมงกุฏนี้มีอิทธิฤทธิ์ช่วยปกป้องผู้ที่ครอบครองไม่ให้บาดเจ็บได้ จึงเป็นที่มาของ...
อภินิหารมงกุฎหนามศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Crown of Thorns)
มงกุฎหนามนี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เป็น 1 ใน 3 ชิ้นที่สำคัญคือ..
1. มงกุฎหนาม
2. เศษเสี้ยวของไม้กางเขนองค์จริง
3. ตะปูศักดิ์สิทธิ์
โดยถูกเก็บรักษาไว้ที่ "มหาวิหารนอเทรอดาม" (Cath drale Notre-Dame de Paris) ที่จัดอยู่ในหมวด Super rare items ที่เรียกว่า First class relics เพราะมันคือวัตถุที่ได้สัมผัสโดนตัวพระเยซูโดยตรง และมีอายุประมาณ 2,000 กว่าปีมาแล้วนั้นเอง
งั้นเรามาย้อนกลับไปในอดีตกันว่ามงกุฎหนามนี้มีที่มาที่ไปยังไง ?
ซึ่งในพระธรรมยอห์น บทที่ 19 (พระเยซูถูกสวมมงกุฎหนาม)
19:1 ฉะนั้นปีลาตจึงเอาพระเยซูไป และโบยตีพระองค์
19:2 และพวกทหารได้ทอมงกุฎหนาม และสวมมงกุฎนั้นบนพระเศียรของพระองค์ และพวกเขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระองค์
19:3 และกล่าวว่า “ขอทรงพระเจริญ กษัตริย์ของพวกยิว” และพวกเขาได้ตบพระองค์ด้วยมือของพวกเขา
นี่คือสิ่งที่ทหารโรมันได้กระทำกับพระองค์ ทั้งทรมานร่างกายอย่างเจ็บปวด การถ่มน้ำลายใส่ และการพูดจาดูถูกเหยียดหยาม และบังคับให้สวมใส่มงกุฎหนามให้ทิ่มศีรษะอย่างแสนทรมาน พร้อมกับเอาไม้ฟาดลงไปที่ศีรษะของพระองค์
ก่อนจะให้พระองค์เดินแบกไม้กางเขนของตนไปยังแดนประหาร โดยให้เดินรอบเมืองเยรูซาเล็มเพื่อเป็นการประจาน เพื่อนำไปสู่สถานที่ที่ชื่อว่า "กลโกธา" (หมายถึงกะโหลก) ที่ซึ่งเป็นสถานที่ตรึงพระองค์จนสิ้นพระชนม์ (ในช่วงอายุ 33 ปี)
พอพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วมงกุฎหนามไปอยู่ไหน ?
มงกุฎหนามยังคงวนเวียนอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม (ประเทศอิสราเอล) และได้เปลี่ยนมือไปหลายเจ้า จนหลักฐานที่แน่ชัดก็ปรากฎว่าตัวมงกุฎถูกอารักขาไว้ที่ภูเขาศิโยน (Mount Zion) (จนถึงปี คศ. 870)
แต่ตัวมงกุฎก็ไม่ได้อยู่อย่างดีเท่าไหร่ เพราะหนามของมงกุฎหลายชิ้นถูกหักออกจากมงกุฎ และส่งไปเป็นของกำนัลแก่กษัตริย์นักรบชื่อดังในสมัยนั้นหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น "Charles The Bald", "Duke of Frank", หรือ "Athelstan" (กษัตริย์ของแองโกล-แซกซอน) แต่ที่น่าจะโด่งดังสุดก็คือ "Chalemagne the Great" (พระเจ้าชาเลอมาญมหาราช)
แล้วทำไมมงกุฎหนามนี้จึงมีความสำคัญ ?
เพราะว่ากันว่าหนามจากมงกุฎนี้มีอิทธิฤทธิ์ในการช่วยคุ้มภัยอันตรายได้ ไม่ให้เสียเลือดเนื้อในยามออกรบออกศึกนั้นเอง เลยพากันตามหากันใหญ่ ขนาดจักรพรรดินโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องหามาครอบครองให้ได้เลย
แต่อย่างว่าเมื่อของมันขลังมีดี มีชื่อเสียงก็ย่อมมีคนอยากครอบครอง
พอเกิดสงครามครูเสดขึ้น ตัวมงกุฎก็ถูกชิงไปจากเยรูซาเล็ม และไปอยู่ในมือของอาณาจักรไบแซนไทน์ ในปี 1063 (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน)
มงกุฎหนามอยู่อย่างสงบเป็นเวลาถึง 175 ปี จนมาถึงรัชสมัยของพระเจ้า "Baldwin II" อาณาจักรไบแซนไทน์ก็เจอกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก เพราะต้องกู้เงินจากสหภาพยุโรปเป็นหลัก จึงต้องตัดสินใจเอาสมบัติของบรรพบุรุษออกมาปล่อย ไปจำนำกับพวก Venetian (นครเวนิซในปัจจุบัน) เป็นทองคำจำนวน 13,134 Hyperpyron ซึ่งเยอะมากๆทีเดียว
การไถ่มงกุฎหนามโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส
เพราะเมื่อพวก Venetian ได้ไป ก็ย่อมรู้ว่าพระเจ้า Baldwin II ไม่มีปัญญามาไถ่มงกุฎคืนแน่นอน ข่าวก็รู้ไปถึง "พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส" จึงเข้าไปไถ่มงกุฎหนามนี้ด้วยทองคำมหาศาล เพื่อนำมงกุฎสู่ดินแดนฝรั่งเศส
โดยสั่งให้ช่างสร้างมหาวิหารแซงต์ แชแปล (Sainte-Chapelle) แล้วเสร็จในปี 1248 เพื่อเอาไว้เก็บมงกุฎหนาม และของศักดิ์สิทธิ์อื่นๆในอนาคตด้วย
และสิ่งแรกที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงกระทำก็คือการหักหนามส่วนใหญ่ออกจากมงกุฎทั้งหมด แล้วก็เอาตัวมงกุฎที่มีหนามอยู่เล็กน้อยไปใส่ในวัตถุทรงกลมให้กลายเป็นรัดเกล้า (Circlet) แทน (ตามภาพด้านล่าง)
ส่วนตัวหนามที่ถูกหักออกก็ถูกเอาไปแจกจ่ายเป็นของกำนัลให้แก่ประเทศพันธมิตรต่างๆ รวมถึงคนในราชวงศ์หลุยส์ด้วย เพราะเชื่อว่าเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์
แต่สุดท้ายมงกุฎหนามก็ต้องโดนปล้นอีกครั้ง
เพราะพอผ่านไป 553 ปี (ในปี 1801) ฝรั่งเศสก็เกิดการปฎิวัติรัฐประหารขึ้น สมบัติที่เคยเป็นของราชวงศ์ก็ถูกรื้อค้นปล้นกันไปเป็นการใหญ่ รวมถึงมงกุฎหนามนี้ก็ถูกปล้นไปเช่นกัน แต่พอหลังจากถกเถียงกันมาเป็นเวลายาวนานในที่สุดก็ตกลงกันว่า จะนำมงกุฎหนามนี้ไปเก็บไว้ที่ "มหาวิหารนอเทรอดาม (Cath drale Notre-Dame de Paris)" ซึ่งถือว่าทางฝรั่งเศสนั้นเก็บรักษาสมบัติทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี
มหาวิหารนอเทรอดามถูกเพลิงไหม้
จนเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 ก็เกิดอัคคีภัยกับมหาวิหารฯ ซึ่งมีอายุกว่า 850 ปี ในกรุงปารีสของฝรั่งเศส สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก แต่ยังดีที่บาทหลวงฟูร์นีย์กับเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ก็เสี่ยงชีวิตฝ่าเปลวไฟบุกเข้าไปในมหาวิหารฯ เพื่อเอาวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์และสิ่งของสำคัญๆ ที่ประเมินค่ามิได้ออกมาได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึง "มงกุฎหนาม" ชิ้นนี้ด้วย และรวมถึงเสื้อคลุมของนักบุญหลุยส์ด้วยที่ไม่โดนเพลิงไหม้ไปในครั้งนี้
และนี่ก็คือที่มาของ "มงกุฎหนามศักดิ์สิทธิ์" นี้ที่คือสัญลักษณ์ "แห่งความเจ็บปวด ความอดทน และการให้อภัย" ซึ่งถือเป็นสามสิ่งที่มีความหมาย เป็นสิ่งที่คอยเตือนใจให้เหล่าชาวคริสต์ได้เห็นถึงความรักของพระเจ้า โดยผ่านบุรุษที่ต้องยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อการยอมเป็นเครื่องบูชา "ไถ่บาป" แทนมวลมนุษยชาติบนโลก ด้วยใจบริสุทธิ์ โดยที่พระองค์เองไม่ได้ทรงกระทำผิดอะไรเลย แต่ต้องยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในนาม "เยซูชาวนาซาเร็ธ" พระคริสต์พระผู้ไถ่บาปนั่นเอง
ขอบคุณภาพและเนื้อหาต่างๆจาก : กูลเกิล, วิกิพีเดียร์