“วิหารแอซเตค”ศาสนสถานแห่งการอาบเลือดเพื่อ “บูชายัญ” ของชาวแอซเตค
จะตกตะลึงสักแค่ไหนถ้าการบูรณะซ่อมแซม "วิหารเทมโพลมายอร์ (Templo Mayor)" ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเม็กซิโกซิตี้ในปัจจุบัน จะขุดเจาะไปเจอกะโหลกศีรษะของมนุษย์ และกระดูกกรามรวมๆกว่า 200 ชิ้นกองกันอยู่ ณ จุดที่วางแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ของวิหารฯ
มันเป็นตำแหน่งที่พบและระบุได้ชัดว่านี่คือหลักฐานของการฆ่าคนเพื่อ "บูชายัญ" เมื่อประมาณ 500 กว่าปีมาแล้ว ของชาวแอซเตคในอดีตกาล มันจึงเป็นศาสนสถานที่ครั้งหนึ่งที่ในอดีตแห่งนี้ "อาบไปด้วยเลือด" ของคนนับหมื่นๆคนเลยทีเดียว
ซึ่งกะโหลกและกองกระดูกที่พบมีทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย คาดว่าน่าจะอยู่ช่วงอายุ 20-35 ปีเท่านั้น โดยนักโบราณคดีเชื่อว่าเหยื่อเหล่านี้น่าจะถูก "ตัดคอ" ที่แท่นหินบูชายัญ จากนั้นศีรษะก็จะถูกนำไปประกอบพิธีกรรมต่างๆตามความเชื่อเพื่อบวงสรวงแด่เทพเจ้าของชาวแอซเตคในสมัยก่อน
โดยใต้แท่นหินบูชายัญนั้นพบกะโหลกฝังอยู่ 5 กะโหลก ในขณะที่กะโหลกอื่นๆ ถูกวางซ้อนไว้เป็นกองอยู่บนแท่น โดยกะโหลกที่อยู่ใต้แท่นหินบูชายัญนั้นมีรูกลวงของไม้ขนาดใหญ่ตรงขมับ ซึ่งสันนิษฐานว่าคงจะเจาะไว้สำหรับเสียบแท่งไม้ยาวเข้าไป อันเป็นขั้นตอนก่อนนำเอาไปจัดวางแผงกะโหลกที่เรียกว่า "ซอมปันตลี" (tzompantli) โดยจะถูกแขวนตรึงไว้บนแผงไม้ข้างตัววิหาร
โดย "ราอูล บาร์เธอรา" นักโบราณคดีที่สำรวจได้กล่าวว่า.."ในกองกะโหลก 45 หัวที่ค้นพบอยู่บนแท่นหิน บางชิ้นน่าจะอยู่ในกระบวนการทำให้เป็นหน้ากากกะโหลก แต่คาดว่าน่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยดี"
และนักบวชชื่อ "เดียโก ดูรัน" ชาวสเปนอ้างว่าพิธีกรรมจัดขึ้นในปี 1487 ชาวแอซเตคใช้เหยื่อเพื่อบูชายัญถึง 80,000 คน แต่นักประวัติศาสตร์ประเมินว่า ในแต่ละปีชาวแอซเตคน่าจะจับคนมาบูชายัญเพียง 500-700 คนเท่านั้น นอกเสียจากในพิธีที่เป็นกรณีพิเศษจริงๆ ก็คงจะบูชายัญมากถึง 20,000 คนได้
และมีกี่เทพเจ้าของชาวแอซเตค
จริงๆแล้วเทพเจ้าของชาวแอซเตคมีหลายองค์ และแต่ละองค์ก็มีความต้องการเหยื่อในการบูชายัญที่แตกต่างกันไป โดยเหยื่อจะถูกฆ่าในวิธีการที่ต่างกัน เพื่อสร้างความพอใจถวายแด่เทพเจ้าแต่ละองค์ด้วย โดยมี...
1. ตลาโลก (Tlaloc) เทพแห่งฝนและสายฟ้า เหยื่อ : เด็ก ทาส นักโทษ วิธีการ : ตัดหัว
2. โตซี (Tosi) เทพีผู้ให้กำเนิด เหยื่อ : หญิงสาว วิธีการ : ตัดหัว, ถลกหนัง
3. วีตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) เทพแห่งสงคราม เหยื่อ : เชลยศึก, ทาส วิธีการ : ถลกหนัง, ควักหัวใจ
4. โกวัคลีเกว (Coatlicue) เทพแห่งการเจริญพันธุ์ เหยื่อ : เด็ก วิธีการ : ควักหัวใจ
5. เกตซัลโกอาเติล (Quetzalcoatl) เทพแห่งปัญญา เหยื่อ : สาวบริสุทธิ์ วิธีการ : ถ่วงน้ำ
6. ซีโกเมโกอาเติล (Chicomecoati) เทพแห่งกสิกรรม เหยื่อ : ผู้หญิง วิธีการ : ตัดหัว
7. ซีอูเตกุตลี (Xiuhtecuhyli) เทพแห่งไฟ เหยื่อ : ไม่ทราบแน่ชัด วิธีการ : เผาทั้งเป็น
8. มีกตลานเตกุตลี (Mictiantecuhtli) เทพแห่งความตาย
(ถือเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่สำคัญองค์หนึ่งของชาวแอซเตค) เหยื่อ : ไม่ทราบแน่ชัด วิธีการ : ขังให้อดตาย
การล่มสลายของอาณาจักรแอซเตค
มันเป็นเวลากว่า 500 ปีแล้วที่ "เฮอร์นัน คอร์เตส" (Hernan Cortes) นักสำรวจและนักล่าดินแดนจากสเปน สั่งการโดยให้ยึดเมืองของชาวแอซเตค จากการศึกษาจากสถาบันโบราณคดีและประวัติศาสตร์แห่งชาติของเม็กซิโกฯ บ่งชี้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับกองกำลังสเปนที่มาบุกเมืองของแอซเตคในช่วงต้นปี 1521 เพื่อเป็นการล้างแค้นที่ถูกชาวเอซเตคจับตัวเชลย และสังหารมาก่อนหน้านั้น ซึ่งเชื่อว่าชาวแอซเตคได้ทำการฆ่าสังเวยผู้ที่ถูกจับกุม ทั้งกินเนื้อและบูชายัญกลุ่มนักสำรวจสเปน
ซึ่งกองคาราวานมีชายสเปน 15 ราย ทหาร 15 ราย สตรี 50 ราย และเด็กอีก 10 ราย กับชนเผ่าอีกจำนวนหนึ่ง ที่ถูกชาวแอซเตคควบคุมตัวไว้ ตลอดระยะเวลา 6 เดือน จนต้องพบกับจุดจบอันน่าสยดสยอง โดยถูกสังเวยซึ่งนักโบราณคดีชื่อ "เอ็นริเก มาร์ติเนซ" (Enrique Martinez) ได้อธิบายว่า ทุกๆ 2-3 วัน นักบวชของชาวแอซเตคคงจะสุ่มเลือกบางคนขึ้นมาเพื่อสังหาร เพื่อเป็นการสังเวยบูชาเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่เรียกว่า “Quetzalcoatl” และเทพนักรบ “Huitzilopochtli
และเมื่อข่าวเรื่องการจับกุมคาราวานสเปนมาถึงหูเฮอร์นัน คอร์เตส เขาสั่งให้ "กอนซาโล เดอ ซานโดวัล" (Gonzalo de Sandoval) กวาดล้างเมืองแห่งนี้ในช่วงต้นปี 1521
โดยชาวเมืองพยายามป้องกันเมืองด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ แน่นอนว่าไม่มีกรรมวิธีแบบดึกดำบรรพ์ใดๆ เพียงพอยับยั้งการเดินทัพของ "กอนซาโล เดอ ซานโดวัล" นักรบที่เคยอยู่ในเมืองบางรายสามารถหลบหนีไปได้ แต่กลุ่มที่เหลือในเมืองกลับเป็นเด็กและสตรี ซึ่งกลุ่มนี้เองที่กลายเป็นเหยื่อไป หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป "เฮอร์นัน คอร์เตส" ก็เข้ายึดเมืองหลักของแอซเตคได้ในปี 1521 และในปี 2021 นี้ถือเป็นวาระครบรอบ 500 ปีของการเข้ายึดครองโดยสเปน
และนี่ก็คือเรื่องราวลี้ลับในตำนานของชาวแอซเตคในอดีต ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่ยังคงมีหลักฐานปรากฎให้ชนรุ่นหลังได้เห็น ท่ามกลางใจกลางกรุงเม็กซิโกซิตี้ได้รับรู้ถึงศาสนาสถานแห่งนี้ ที่แต่ก่อนนั้นเต็มไปด้วยการ "นองเลือดเพื่อเป็นการบูชายัญ" ในอดีต
ขอบคุณเนื้อหาและภาพ : กูลเกิล, วิกิพีเดียร์
ภาพสวยๆจาก : background-2079499_1280_Photo by JL G-Pixabay.free
skull-77950_1280_Photo by Peter Dargatz-Pixabay.free