“King Gustav III of Sweden” อดีตกษัตริย์สวีเดน ที่แบนกาแฟและคิดจะประหารนักโทษ ด้วยการให้ดื่ม "กาแฟ"
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลของกษัตริย์ "กุสตาฟที่ 3 แห่งสวีเดน" (King Gustav III of Sweden) (ปกครอง ค.ศ. 1771-1792) ที่พยายามจะออกคำสั่งแบน "กาแฟ" ในอดีต โดยมองว่ากาแฟนั้นเป็นอันตรายและเป็นเหมือน "ยาพิษ" จนเกิดความสงสัยและความหวาดกลัวขึ้นมา
ซึ่งคงไม่แปลกที่ "กาแฟ" ในชีวิตประจำวันของเราในยุคปัจจุบันนี้ ถือเป็น "เครื่องดื่มยอดนิยม" และมีกันแพร่หลายไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งจะเคยถูกมองอย่างน่าสงสัย และหวาดกลัวจึงเกิดความแคลงใจในเครื่องดื่มชนิดนี้ จนกระทั้งพิสูจน์ได้ว่ากาแฟนั้นมีความ "ปลอดภัย" และเป็น "ประโยชน์" มาจนถึงทุกวันนี้
กาแฟปรากฎครั้งแรกที่ไหน ?
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายปี เสิร์ฟทั้งร้อนและเย็นพร้อมเติมพลังให้ผู้คนนับไม่ถ้วนด้วยสารจาก "คาเฟอีน" ที่เติมความสดชื่น ตื่นตัว กระฉับกระแฉงให้ร่างกาย แต่กาแฟชนิดแรกที่มีความคล้ายคลึงกับกาแฟที่บริโภคกันมากที่สุดในปัจจุบันนั้น ปรากฎครั้งแรกใน "เยเมนในศตวรรษที่ 15" และค่อยๆแพร่กระจายไปยังแอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และยุโรป
สำหรับสวีเดนได้รับกาแฟเข้ามาเมื่อไหร่ ?
การปรากฎของกาแฟในสวีเดนนั้นมีเมื่อราวปี 1674 (พ.ศ. 2217) แต่กว่าจะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายก็กินเวลากว่าร้อยปีต่อมาเลยทีเดียว จนกระทั่งผู้มั่งคั่งเริ่มได้รับความนิยมในเวลาต่อมา จึงทำให้ทางการเชื่อกันว่าเครื่องดื่มดังกล่าวนี้มีอันตราย และส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพ
จึงได้ออกพระราชกฤษฎีกาในปี ค.ศ. 1746 เพื่อประณามว่า "เป็นการใช้ในทางที่ผิด" ของทั้งชาและกาแฟ ซึ่งกาแฟยังถูกห้ามในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่มันกลับเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์กว่าสิ่งอื่นใดเนื่องจากผู้คนยังคงบริโภคกาแฟต่อไป
จุดเริ่มต้นของการไม่ยอมรับและคิดจะแบน "กาแฟ"
เกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์ "กุฟตาสที่ 3" แห่งสวีเดน ที่รวมหัวกับแพทย์ ที่จะพยายามใช้กาแฟเป็นวิธีทดลองในการ "ประหารชีวิต" นักโทษ และทรงรังเกียจกาแฟและเชื่อว่ามันเป็นอันตรายต่อราษฎรของพระองค์ พระองค์ไม่เห็นด้วยกับการนำเครื่องดื่มชนิดนี้ไปใช้กันอย่างแพร่หลาย
"King Gustav III of Sweden" (By Wikimedia Commons)
พระองค์ต้องการจะพิสูจน์ผลกระทบด้านสุขภาพในเชิงลบ ที่พระองค์เชื่อว่ากาแฟนั้นมีอันตรายอยู่มากมายแต่ราษฎรของพระองค์กลับไม่เชื่อฟังพระราชกฤษฎีกา ดังนั้นพระองค์จะต้องหาทางทำอย่างไรดี ? ที่จะสามารถหาหลักฐานมาให้ราษฎรดูว่าพระองค์พูดถูก ?
จุดเริ่มต้นของการทดลอง "กาแฟ" เพื่อใช้ประหารชีวิตนักโทษ
พระองค์ตัดสินใจรวมกับทางการแพทย์เพื่อหาวิธีที่จะได้บรรลุเป้าหมาย โดยได้นำนักโทษ 2 คนที่รอประหารชีวิต นำมาให้แพทย์ 2 ท่านทำการทดลอง ซึ่งนักโทษทั้งคู่เป็นฝาแฝดคู่หนึ่งและทั้งคู่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตโดยการ "ตัดศีรษะ"
ในคดีฆาตกรรมแต่ได้รับการลดหย่อนโทษให้จำคุกตลอดชีวิต โดยการใช้ให้ทั้งคู่เป็น "หนูทดลอง" ซึ่งพระองค์คาดหวังว่าจะทำลายชื่อเสียงของกาแฟและชานั่นเอง
ส่วนวิธีการใช้ "กาแฟ" ในการทดลอบทำยังไง ?
คือให้อีกคน "ดื่มกาแฟ" 3 หม้อต่อวันไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ทุกๆวัน และอีกคนหนึ่งให้ "ดื่มชา" 3 หม้อต่อวันไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ทุกๆวันเช่นกัน เจตนาก็คือ...
ถ้าคนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คนเสียชีวิต หรือได้รับอันตรายจากสิ่งที่ได้ทำการทดลอง ก็ถือว่านี่คือ "ยาพิษ" ความคลางแคลงใจของพระองค์ ก็จะได้รับการพิสูจน์อย่างเป็นทางการในที่สุด ซึ่งพระองค์เชื่อว่านักโทษทั้งคู่จะต้องตายอย่างรวดเร็วเป็นแน่ๆ
สุดท้ายแล้วจุดจบใครตาย ? ใครรอด ?
(เป็นเรื่องที่น่าตลกนิดๆ ถ้าอ่านๆไปก็อดนึกขำไม่ได้) เพราะปรากฎว่านักโทษทั้ง 2 คนไม่เป็นอะไรเลย นอกจากสารของ "คาเฟอีน" นั้น ส่งผลแค่อาจทำนักโทษนั้นนอนหลับได้น้อยลง จากการกระตุ้นของกาแฟและทำให้แค่ปัสสาวะมากขึ้นเท่านั้น
แผนของพระองค์ล้มไม่เป็นท่า สุดท้ายคนที่ตายก่อนคือใครนะหรอ ?
ก็พระองค์เองที่ถูกลอบสังหารในปี พ.ศ. 2335 มาสิ้นพระชนม์ไปก่อนนักโทษ (เมื่อพระองค์มีอายุ 46 ปี) จากนั้นต่อมาแพทย์ที่ทำการทดลองทั้ง 2 คน ก็ดันมาตายอีกเช่นกัน (สรุปดันมาตายก่อนนักโทษซะงั้น 555)
ก่อนที่นักโทษคนใดคนหนึ่งจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนนักโทษที่ดื่มชาเสียชีวิตเมื่ออายุ 83 ปี โดยไม่ได้รับความทุกข์ทรมานหรือได้รับผลข้างเคียงของการดื่มกาแฟและชา อย่างที่ "กษัตริย์กุสตาฟที่ 3" คาดหวังเอาไว้
หลังการเสียชีวิตของพระองค์ สถาบันกษัตริย์ก็ได้พยายามอยู่หลายครั้งในการสั่งห้ามกินกาแฟ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จทำให้ต้องยอมแพ้ไปในช่วงทศวรรษที่ 1820 นับตั้งแต่นั้น จึงทำให้กาแฟได้รับความนิยมไปอย่างรวดเร็วในประเทศ จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถือว่าประเทศสวีเดนมีอัตราการ "ดื่มกาแฟ" ที่สูงที่สุดในโลกด้วย
และนี่ก็เรื่องราวของ "กาแฟ" ที่ในสมัยสวีเดนเคยใช้ทดลองในการจะประหารชีวิตนักโทษกันมาแล้ว ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกระทู้ที่หวังว่าเพื่อนๆ ที่ติดตามอ่านกันจะชื่นชอบและสนุกไปกับเกร็ดสาระน่ารู้ที่พยายามนำมาเสนอ ซึ่งถ้านับๆจากกระทู้ที่ตั้งๆมาทั้งหมด นี่ก็ถือว่าเป็นกระทู้ที่ EP-52 เข้าไปแล้วไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันล่ะ
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : กูลเกิล, วิกิมีเดียร์
ขอบคุณภาพสวยๆฟรีโดย : coffee-842020_1280_Photo By congerdesign (Pixabay Free)