“Johan de Witt & Cornelis de Witt” 2 พี่น้องที่ถูกชาวดัตช์ รุมฆ่าและเผาเพื่อกินเนื้อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1672 กับเรื่องราวของ 2 พี่น้อง ที่ถือว่าเป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนไปแล้วก็ว่าได้ สำหรับบุคคลสำคัญทางการเมืองดัตช์ (ปัจจุบันก็คือเนเธอร์แลนด์) ซึ่งเคยเป็นถึง "นายกรัฐมนตรี" ในสมัยนั้น ที่โดนประชาชนชาวดัตช์ที่โกรธแค้นจับฆ่าอย่างสยดสยอง
ประวัติและชื่อของเขาคือ "โยฮัน ดี วิตต์" (Johan de Witt)
เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1625 ที่ดอร์เดรชต์ ในครอบครัวพ่อค้าผู้มั่งคั่ง เขาได้รับการศึกษาที่ "มหาวิทยาลัยไลเดน" (Leiden) โดยเขามีชื่อเสียงในฐานะนักคณิตศาสตร์และนิติศาสตร์อันโดดเด่น
บิดาของเขาชื่อ "จาค็อบ ดี วิตต์" (Jacob de Witt) ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่งในทางราชการ และยังทำหน้าที่เป็นทูตไปยังสวีเดนอีกด้วย
เขามีพี่ชายชื่อ "คอร์เนลิอุส ดี วิตต์" (Cornelis de Witt) เมื่อเขามีอายุเพียง 19 ปี เขาและพี่ชายได้ไปเยี่ยมพ่อของเขาที่สวีเดน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะเผยแผ่ทางการทูต จากนั้นพวกเขาก็ไปฝรั่งเศส อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ
Johan de Witt (By Wikimedia Commons)
Cornelis de Witt (By Wikimedia Commons)
ประวัติหน้าที่การงานของเขา
เมื่อเขากลับมาเขาได้ไปอาศัยอยู่ในกรุงเฮก และทำงานด้านกฎหมายในปี ค.ศ. 1650 จนพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 แห่งออเรนจ์สิ้นพระชนม์ เขาจึงเป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการแห่งดอร์เดรชต์
เขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็น "รัฐบุรุษ" ที่ยอดเยี่ยม จนได้เป็นนักการทูตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเวลานั้น จากนั้น 3 ปีต่อมาตอนอายุเพียง 28 ปี (ช่วง ค.ศ. 1653) เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาหัวหน้ารัฐบาล โดยใช้ความรู้และทักษะทางการทูตเพื่อเปลี่ยนประเทศเล็กๆ ให้เป็นมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจระดับโลก
ช่วงเวลานั้นเขาได้รับเลือกให้เป็น "Grand Pensionary" ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สูงสุดและมีอิทธิพลยิ่งกว่าราชวงศ์ซะอีก ซึ่งในศตวรรษที่ 17 นั้นสาธารณรัฐดัตช์ถือว่าเป็นดินแดนที่มีเศรษฐกิจที่เติบโต และเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญในเอเชียตะวันออก
และปกครองโดย "ระบอบราชาธิปไตย" ภายใต้รัฐธรรมนูญในรัชสมัยของ "พระเจ้าแห่งออเรนจ์" (Prince of Orange) เป็นผู้นำรัฐบาล การค้าในยุคนั้นเปิดกว้างทำให้กลุ่มชนชั้นพ่อค้ามีอิทธิพลทางสังคม และชาวดัตช์ต่างก็ชื่นชอบในการปกครองแบบประชาธิปไตยมากกว่า จะถูกปกครองจากพวกเหล่าขุนนางชั้นสูง
เขามีอำนาจมากในการจัดการกองทัพ
เขาได้แบ่งงบจากกองทัพบก ไปให้กองทัพเรือด้วยเหตุผลว่าเรือขนาดใหญ่จะช่วยให้การค้ากับตะวันออกนั้นไปได้ไกล และยิ่งรุ่งเรือง และจะได้เป็นการตรวจสอบอิทธิพลของพวกอังกฤษในดินแดนห่างไกลในช่องแคบอังกฤษด้วย สิ่งที่เขาทำได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากประชาชนชาวดัตช์ในเวลานั้น
จนกระทั่งฝรั่งเศสตัดสินใจบุกโจมตีในปี 1672
เนื่องจากงบประมาณที่ถูกจัดสรรไปยังส่วนอื่น ก็ทำให้กองทัพของชาวดัตช์อ่อนแอชาวดัตช์ไม่สามารถต่อสู้ และป้องกันประเทศจากภัยคุกคามได้ แถมกองเรืออังกฤษก็ได้ทำการปิดล้อมประเทศทำให้สาธารณรัฐดัตช์อยู่ในสถาวะตึงเครียด
ประเทศถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ประชาชนชาวดัตช์ฝ่ายหนึ่งก็สนับสนุนราชวงศ์และต้องการให้กษัตริย์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ยังต้องการจะสนับสนุนในตัวเขา
เขาเริ่มสูญเสียอำนาจและเริ่มไม่ได้รับการสนับสนุน
วันเวลาผ่านไปสงครามในสาธารณรัฐดัตช์ไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงเรื่อยๆ ทำให้เขาเริ่มจะเสียการสนับสนุน ในไม่ช้ากลุ่มราชวงศ์ก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ประชาชนชาวดัตช์เริ่มเรียกร้องให้เขารับผิดชอบต่อ "ความพ่ายแพ้" ของกองทัพที่เขาทำให้ประเทศนั้นต้องอับอาย
อำนาจที่มีหมด..เกิดความเกลียดชังในตัวเขา
เกิดความเกลียดชังในตัวเขาอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขณะมีการพยายามจะลอบสังหารเขา แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ตาม แต่เขาก็หนีรอดมาได้จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมลาออกจากตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1672
แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับความโกรธแค้นและความเกลียดชังของชาวดัตช์อยู่ดี ในเวลาต่อมาพี่ชายของเขาก็ถูกตัดสินว่าเป็นกบฎ ทรยศในข้อหาวางแผนจะสังหาร "พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งออเรนจ์" (William III Prince of Orange)
William III Prince ofOrange Wissing_1685 (By Wikimedia Commons)
แต่นักประวัติศาสตร์ไม่พบความจริงในการสมรู้ร่วมคิดนี้ และคิดน่าจะเป็นการใส่ร้ายพี่ชายของเขาจากฝ่ายตรงข้าม แต่ถึงอย่างไรพี่ชายของเขาก็ถูกคุมขัง และถูกทรมานเพื่อให้รับสารภาพในกบฎอยู่ดี
จุดจบชีวิตของทั้ง 2 พี่น้องที่น่าสยดสยอง
จนเขามาเยี่ยมพี่ชายในคุก ฝูงชนที่โกรธแค้นก็ได้เข้ามารุมล้อมเขาทั้ง 2 คน แล้วลากพวกเขาไปที่ถนน ทั้ง 2 คนถูกยิงด้วยปืน เขาถูกทิ้งให้อยู่กับฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่งอย่างโกรธเกรี้ยว ฝูงชนได้ทำการหยามหมิ่นตระกูลของพวกเขาเพื่อจะทำให้เสียเกียรติ โดยการจับ 2 พี่น้องเปลือยกาย และนำไปแขวนบนตะแลงแกง จากนั้นก็คว้านไส้จากพุงออกมาอย่างนาสยดสยอง
แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจชาวดัตช์ ชิ้นส่วนร่างกายของ 2 พี่น้องถูกนำไปเผาย่าง และถูกหั่นเป็นชิ้นเพื่อแจกจ่ายให้กับฝูงชนชาวดัตช์ได้รับประทาน จากการกระทำของชาวดัตช์นั้นไม่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดใดๆ ฝูงชนต่างเป็นอิสระและไม่ต้องรับโทษใดๆอีกด้วยจากการกระทำกับ 2 พี่น้องคู่นี้
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของชาวดัตช์ ที่เป็นการแสดงความรุนแรงที่น่าสยดสยองในอดีต ไม่ต่างจากการล่าแม่มดในอังกฤษ หรือการลงประชามติคนผิวสีในอเมริกา หรือการนองเลือดในอินเดียเพื่อฆ่าวัวเพื่อสังเวยในเทศกาล "Eid al-Adha" นั้นเอง
ขอบคุณภาพและเนื้อหาต่างๆจาก : กูลเกิล, วิกิมีเดียร์