ถอดรหัส!!! ประวัติศาสตร์การต้านวัคซีน ทำไมบางกลุ่มถึงคิดว่าวัคซีนคือตัวร้าย
เมื่อวัคซีนเป็นหนึ่งในอาวุธสุดสำคัญที่ใช้ต่อกรกับไวรัสต่างๆ รวมทั้งไวรัสมฤตยู Coronavirus ที่ทำให้เกิดโรค COVID-19 จนสร้างความหวาดวิตกไปทั่วโลก แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่ยินยอมจะฉีดวัคซีนจนถึงขั้นรณรงค์ต่อต้านการฉีดวัคซีน เรามาย้อนรอยกันว่าทำไมการพวกเขาจึงมองว่าการฉีดวัคซีนเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นครับ
วัคซีนนวัตกรรมเปลี่ยนโลก
วัคซีนคือรูปแบบการสร้างภูมิคุ้มกันให้มนุษย์โดยใช้ตัวกระตุ้น (Agent) ที่มีหลายแบบ เช่น การสร้างให้คล้ายกับเชื้อร้ายที่ก่อให้เกิดโรค (Disease-causing microorganism) หรือเป็นเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคจริงๆ แต่ทำการดังแปลงให้เป็นอ่อนแอลงหรือเป็นเชื้อที่ถูกทำให้ตายไปแล้ว เป็นต้น เมื่อนำตัวกระตุ้นฉีดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ระบบภูมิคุ้มกันก็ตรวจเจอ ทำการทำลาย และจดจำสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวเพื่อให้ร่างการสร้างภูมิขึ้นมาแบบเฉพาะเจาะจง เมื่อมีอะไรที่มีลักษณะคล้ายๆ สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวเข้ามาในร่างกาย ร่างกายก็จะสามารถตรวจสอบและกำจัดได้ทันท่วงที
คุณประโยชน์ของวัคซีนมีมากมายโดยสามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของคนได้เป็นจำนวนมาก ในปี 1958 เกิดการระบาดของโรคหัด (Measles) ครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา มีการรายงานผู้ติดเชื้อมากถึง 763,094 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 552 ราย แต่หลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนขึ้นมา จำนวนผู้ป่วยต่อปีลดลงไปเหลือเพียงต่ำกว่า 150 รายต่อปี นอกจากนี้วัคซีนยังช่วยกำจัดการระบาดของโรคร้ายแรงอีกหลายชนิด เช่น การลดการระบาดของโรคฝีดาษ (Smallpox) ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 20 – 40% ได้เป็นอย่างดีและทำให้ประชาคมโลกปลอดภัยจากโรคโปลิโอ หรือโรคร้ายอื่นๆ
เมื่อวัคซีนเป็นภัยต่อศาสนาและสร้างภาระแก่ผู้ปกครอง
ในปี 1721 เกิดโรคฝีดาษที่ระบาดอย่างหนักในอเมริกา ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ทางคุณ Cotton Mather ได้พยายามนำวิธีปลูกฝี (Variolation) โดยการนำสะเก็ดแผลของผู้ป่วยฝีดาษไปแตะลงบนบาดแผลที่ผิวหนังของผู้ที่สุขภาพดี จนในที่สุดก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันและลดอัตราการเสียชีวิตได้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามก็มีผู้ที่เคร่งในศาสนาออกมาต่อการการปลูกฝีโดยให้เหตุผลว่าฝีดาษเป็นการลงโทษคนบาปจากพระเจ้า ดังนั้นการปลูกฝีเสมือนเป็นการต่อต้านพระเจ้า เป็นบาปอย่างยิ่ง หลังจากที่มีการพัฒนาต่อยอดจากการปลูกฝีให้กลายเป็นวัคซีนฝีดาษในปี 1798 ก็มีการวาดภาพเพื่อกระจายความเชื่อที่ว่าการฉีดวัคซีนฝีดาษจะทำให้มีวัวงอกออกมาตามร่างกายเป็นต้น
ในปี 1853 ประเทศอังกฤษได้ประกาศบังคับให้มีการฉีดวัคซีนที่จำเป็นต่อเด็กทารก โดยผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามจะโดนค่าปรับทุกครั้งที่มีการปฏิเสธไม่ยอมให้เด็กรับวัคซีน ทำให้เกิดการประท้วงไปทั่วประเทศเนื่องจากค่าฉีดวัคซีนหรือค่าปรับจากไม่ให้เด็กฉีดวัคซีนล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างภาระทางการเงินกับผู้ปกครองในขณะนั้น ในท้ายที่สุดการประท้วงก็เริ่มเบาบางลงเมื่อประชาชนเห็นประโยชน์ของวัคซีนมากขึ้น
ความเชื่อที่ว่าวัคซีนเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดภาวะออทิสติก (Autism)
เมื่อประชาชนเห็นประโยชน์ของวัคซีนมากขึ้นเรื่อยๆ การต่อต้านวัคซีนก็ค่อยๆ ลดลงเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม การกระพือความชั่วร้ายก็กลับมาอีกระลอกเมื่อมีการกล่าวหาว่าวัคซีนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะออทิสติกในเด็ก โดยเริ่มจากมีการพบอัตราส่วนของเด็กที่มีภาวะออทิสติกเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ในความเป็นจริงการค้นพบว่าเด็กมีสภาวะออทิสติกมากขึ้นเนื่องมาจากมีการพัฒนาและเพิ่มความถี่ในการตรวจสภาวะออทิสติก (Autism Spectrum Disorder Diagnosis) มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ยิ่งตรวจมากก็มีโอกาสพบมากขึ้น แต่คนบางกลุ่มไม่ได้เชื่ออย่างนั้น
ในปี 1995 มีนักวิจัยบางท่านได้เผยแพร่ผลการวิจับว่าด้วยเรื่องผู้ที่ได้รับวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (Measles-mumps-rubella Vaccine: MMR Vaccine) มีแนวโน้มจะมีอาการของโรคลำไส้มากกว่าคนที่ไม่ได้รับ MMR Vaccine ต่อมามีการต่อยอดการศึกษาดังกล่าวเพื่อหาความสัมพันธ์ของวัคซีนที่มีผลต่อเนื้อเยื่อลำไส้และภาวะออทิสติกในที่สุด ซึ่งการศึกษาเพิ่มเติมในปี 1998 มีการระบุว่าการใช้วัคซีนผสม MMR อาจส่งผลให้เกิดออทิสติกได้ ทำให้เกิดความกังวลในพ่อแม่ผู้ปกครองมากมายจนมีการปฏิเสธการรับวัคซีน MMR ในประเทศอังกฤษและอเมริกา แม้สุดท้ายจะมีการศึกษาหาความสัมพันธ์ของวัคซีน MMR กับภาวะออทิสติกกันอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่ได้คือไม่สามารถพบการก่อให้เกิดภาวะดังกล่าวจากการฉีดวัคซีน และพบพิรุธหลายจุดในการศึกษาก่อนหน้า
การต่อต้านวัคซีน COVID-19
ในช่วงเริ่มการระบาดของ COVID-19 ทางดลุ่มต่อต้านวัคซีนก็ได้เริ่มใช้สื่อ social media ในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อลดความน่าเชื่อถือของวัคซีนต่อต้าน COVID-19 ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนั้น โดยเน้นเรื่องของความไม่ปลอดภัยของวัคซีนซึ่งมาจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น mRNA หรือเรื่องของความเสี่ยงที่ได้รับจากวัคซีนที่กำลังพัฒนาอย่างเร่งด่วน แม้ท้ายที่สุดวัคซีนจะได้รับการรับรองจากทั้งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ไปจนถึงองค์กรในระดับชาติเช่นองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ก็ตาม
สถานการณ์การประท้วงวัคซีน COVID-19 ก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่มีจุดเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีการรายงานว่าแกนนำที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน COVID-19 เช่น คุณ March Bernier (หรือที่รู้จักกันในนามของ Mr. Antivax) และอักหลายท่านได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ COVID-19 แต่อย่างไรก็ตามการประท้วงต่อต้าน COVID-19 ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ในภาพรวมท้ายที่สุดวัคซีนเป็นเสมือนอาวุธสำคัญในการต่อต้านโรคร้ายต่างๆ แต่เราก็ไม่อาจมองข้างถึงสิทธิในการเลือกที่จะรับหรือไม่รับวัคซีนของแต่ละคนได้ครับ ดังนั้นเราคงต้องเน้นการให้ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อให้มีการตัดสินใจที่เหมาะสมครับ ส่วนตัวผมสนับสนุนให้มีการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีน COVID-19 ที่มีคุฯภาพและปลอดภัย เพื่อให้เราสามารถตัดตอนการกลายพันธ์ ลดอัตราการเสียชีวิตและกลับมาพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปครับ
Ref: https://www.theguardian.com/society/2021/jan/26/could-understanding-the-history-of-anti-vaccine-sentiment-help-us-to-overcome-it
Ref: https://en.wikipedia.org/wiki/Vaccine
Ref: https://www.verywellhealth.com/history-anti-vaccine-movement-4054321