“Prince Pentaware Egypt” มัมมี่กรีดร้อง ผู้ที่ลอบสังหารพระบิดาตนเอง
เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวในอดีตแห่งไอยคุปต์ของอียิปต์โบราณ ของ "มัมมี่ที่กรีดร้อง" ซึ่งคาดว่าจะเป็นมัมมี่ของ "เจ้าชายเพนทาแวร์" ผู้ซึ่งทำการลอบสังหาร "ฟาโรห์รามเมสที่ 3" พระบิดาของตนเอง
นามของเขาคือ "เจ้าชายเพนทาแวร์" (Prince Pentaware)
โดยทางพิพิธภัณฑ์อียิปต์โบราณในกรุงไคโรได้นำเอา "สครีมมิง มัมมี่" (The "screaming mummy") หรืออีกชื่อว่า "มัมมี่กรีดร้อง" ออกมาจัดแสดง โดยผลการสำรวจและศึกษาวิจัยของทีมวิจัยได้สรุปว่ามัมมี่ผู้นี้คือ "เจ้าชายเพนทาแวร์"
โดยปรากฎหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่า..เป็นฆาตกรผู้ที่พยายามกระทำ "ปิตุฆาต" ด้วยการลอบสังหาร "ฟาโรห์รามเสสที่ 3" ผู้เป็นพระบิดาตนเอง ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณระหว่างช่วง 1184-1155 ปี ก่อนคริสตกาล
Mummy_Pentaware (By Wikimedia Commons)
Ramses III mummy (By Wikimedia Commons)
มัมมี่ "เจ้าชายเพนทาแวร์" อดีตคือไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร
ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า "มัมมี่บุคคลไม่ทราบชื่อ อี." (Unknown Man E) มือและเท้าของเขาถูกมัด แถมศพถูกหุ้มด้วยหนังแกะซึ่งเป็นวัสดุที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งมัมมี่ร่างนี้อาจจะเป็นเจ้าชายฯ
ที่ต้องโทษประหารชีวิตก็เป็นได้ซึ่งเรียกกันทั่วไปจากลักษณะการตายที่ผิดปกติว่า "มัมมี่กรีดร้อง" เป็นเพศชายอายุราว 18 ปี และศพก็ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำมัมมี่อย่างถูกต้องเหมาะสม
ไม่มีการใช้ของเหลวเพื่อดองศพก่อนพันเป็นมัมมี่เหมือนกับมัมมี่กษัตริย์และบุคคลชั้นสูงอื่นๆ แต่ปล่อยให้เป็นมัมมี่เองโดยตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยยังคงมีลักษณะปากที่อ้าค้างเหมือนกรีดร้องอย่างตื่นตกใจที่กำลังพยายามดิ้นรน ก่อนจะเสียชีวิตจึงเป็นที่มาของชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการในตอนแรก
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า เสียชีวิตขณะกรีดร้องหรือไม่ ? หรือถูกตกแต่งให้มีสภาพเหมือนกรีดร้องหลังจากเสียชีวิตแล้ว แต่ศพนั้นถูกหุ้มด้วยหนังแกะก่อนจะนำไปฝัง ซึ่งในยุคอียิปต์โบราณถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์สำหรับการประกอบพิธีกรรม และถูกฝังรวมกับมัมมี่อื่นๆแบบไม่ได้ใส่ใจใน "สุสานเดเอียร์ เอล-บาฮารี"
Tempel Deir_el-Bahari (By Wikimedia Commons)
ความสำเร็จในการลอบสังหารพระบิดาตนเอง
"เจ้าชายเพนทาแวร์" นั้นได้ลอบปลงพระชนม์พระบิดาได้สำเร็จ จากการตรวจสอบด้วยเครื่องสแกนเมื่อปี 2012 ระบุว่า "ฟาโรห์รามเสสที่ 3" (Ramses III) แห่งราชวงศ์ที่ 20 ในสมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) เมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสตกาลได้ถูกฆาตกรรมแน่นอน
ทรงสิ้นพระชนม์หลังจากการถูกปาดพระศอจนเป็นแผลฉกรรจ์จากของมีคมเช่นมีดหรือกริช และหัวแม่เท้าก็ยังถูกตัดขาดน่าจะเป็นขวาน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่กลุ่มคนรุมทำร้ายตามแผนลอบปลงพระชนม์ โดยต้องมีอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปในการลอบสังหารฟาโรห์รามเสสที่ 3
"เจ้าชายเพนทาแวร์" ร่วมมือกับใคร ?
ตัวการสำคัญของคดีนี้ที่ได้บันทึกไว้ เจ้าชายฯ เป็นผู้วางแผนร่วมกับ "พระนางตีย์" (การสะกดชื่ออื่นๆของพระนาง Tiy, Tiya, Tiyi, Teje) เป็นพระสนมของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ร่วมกันสมคบกับพวกนายทหารในกองทัพและข้าราชสำนักรวมถึงข้ารับใช้สตรีในฮาเร็มหลวงอันเป็นสถานที่ลอบปลงพระชนม์
เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มคนร้ายที่เป็นมือสังหารเข้าถึงตัวฟาโรห์ฯ แห่งอียิปต์ เพราะพระนางฯ ต้องการให้เจ้าชายฯ ซึ่งเป็นโอรสของนางได้ขึ้นครองราชย์ จากหลักฐานทำให้เห็นสุดท้ายแล้วเจ้าชายฯ ก็ถูกตัดสินคดี ส่วนพระนางฯ ก็ไม่รอดเช่นกัน
เพราะหลังจากการตรวจวิเคราะห์ดีเอ็นเอของเจ้าชายฯ เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของฟาโรห์รามเสสที่ 3 ก็เป็นที่ยืนยันได้ในที่สุดว่า "มัมมี่กรีดร้อง" คือ มัมมี่ของ "เจ้าชายเพนทาแวร์" นั้นเอง โดยการทำมัมมี่อย่างไม่เหมาะสมก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของบทลงโทษ จากการที่กระทำการลอบสังหารพระบิดาตนเองดังกล่าว
การไต่สวนคดีของเจ้าชายฯ
ในจารึกตุลาการปาปิรุสแห่งตูรินได้ระบุว่าเจ้าชายฯ นั้นมีฟาโรห์รามเสสที่ 4 ผู้สืบทอดราชบัลลังก์และกลุ่มปุโรหิตก็จงรักภักดีต่อฟาโรห์รามเสสที่ 3 โดยที่ประชุมได้เป็นผู้ดูแลการไต่สวนคดี จึงมีความเห็นว่าเจ้าชายฯ มีความผิดจึงปล่อพระองค์ไว้ในคุก พระองค์จึงได้กระทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย)
วิธีการตายของเจ้าชายฯ
ซึ่งได้มีการถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดมี 2 วิธี คือ การใช้ "ยาพิษ" และการ "ถูกแขวนคอ" ซึ่งขณะนั้นนักวิชาการคิดว่ามัมมี่ร่างนี้น่าจะตายจากการดื่มยาพิษ แต่ภายหลังพบว่ามัมมี่ดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการตายอย่างทรมานด้วยการลงโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
และถูกห่อไว้ด้วยหนังแกะก่อนที่จะนำไปฝัง การตายมาจากสาเหตุแผนการลอบสังหารพ่อที่เป็นกษัตริย์ และหวังจะขึ้นครองราชย์แทนแต่แผนการกลับล้มเหลวโดยไม่ได้ขึ้นเป็นฟาโรห์สมใจ
เพราะถึงแม้ว่าการ "ฆาตกรรม" ลอบสังหารพระบิดาในครั้งนั้นเจ้าชายฯ จะกระทำสำเร็จ แต่จากหนังสือปาปิรัสทั้ง 4 ม้วนก็ได้บอกว่าคนร้ายก็ได้รับโทษไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นฟาโรห์ที่จะต้องได้ขึ้นครองราชย์ต่อจาก "ฟาโรห์รามเสสที่ 3" ย่อมต้องตกเป็นของ "เจ้าชายเพนทาแวร์" แต่ไม่ใช่ “ฟาโรห์รามเสสที่ 4” อย่างที่ปรากฏในตำราประวัติศาสตร์จนทุกวันนี้
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก : กูลเกิล, วิกิพีเดียร์