เจาะลึกอาณาจักร "Atlantis" ที่หายสาบสูญ
"แอตแลนติส" (Atlantis) อาณาจักรที่สาบสูญ เป็นอาณาจักรโบราณที่อยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้าง"ตำนานอาณาจักรแอตแลนติส" นี้ก็คือ "เพลโต" (Plato) นักปราชญ์ชาวกรีกที่ยิ่งใหญ่
ที่มีอิทธิพลต่อชาวตะวันตก โดยกล่าวกันว่าเป็นอาณาจักรที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองที่ทรงคุณธรรม และมีเทคโนโลยีที่สูงส่งโดยเมืองทำจากทองคำ และวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า แต่ทว่าตำนานกล่าวว่าอาณาจักรนี้กลับถูกทำลายจนพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าซุส
Lost_City_of_Atlantis (By Wikimedia Commons)
ที่มาของนครแอตแลนติสเริ่มจากไหน ?
ที่มาของเรื่องแอตแลนติสคือ..ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนหน้านี้ โดยนักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ "เพลโต" (Plato) ซึ่งมาจากข้อเขียนในรูปบทสนทนา 2 เรื่อง (ช่วงปี 427-347 ปีก่อนคริสตกาล) คือเรื่องหนึ่งชื่อ "ทีมารีอัส" (Timaeus) อีกเรื่องหนึ่งชื่อ "ครีทิอัส" (Critias)
ซึ่งสำหรับวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปเชื่อว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องเล่าของนิยายวิทยาศาสตร์ มิใช่เรื่องจริงแต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง จึงได้มีการพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายของตำแหน่งแอตแลนติสว่าอยู่ที่ไหนกันแน่
Plato_Pio-Clementino_Inv305_n2 (By Wikimedia Commons)
เพราะเพลโตได้บอกว่าแอตแลนติสได้ล่มสลายและจมหายไปแล้วในท้องทะเล โดยอยู่ห่างจาก "พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) หรือ (เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส) ออกไป ซึ่งคำทำนายเกี่ยวกับแอตแลนติสที่เชื่อกันว่าอาจเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก
Temple-of-hercules-6517635_1280 (Credit by Dimitris Vetsikas Pixabay Free)
คำพยากรณ์เกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส
พยากรณ์โดย "เอ็ดการ์ เคซี่" (Edgar Cayce) ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่าทวีปแอตแลนติสเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมดรวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนก่อทอดไปทั่วโลกชนชาติที่อาศัยอยู่บนแอตแลนติสเป็น "ชนชาติผิวแดง" ที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
ผู้คนทั่วไปมีความรู้ความสามารถในศาสตร์ทั้งปวง รวมทั้งงานด้านประติมากรรม, วิศวกรรม, สถาปัตยกรรม โดยเฉพาะการก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น เคซี่ได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ (ในบทที่ 2794 L1)
ความเจริญก้าวหน้าของชาวแอตแลนติส
โดยสรุปว่าชาวแอตแลนติสมีความรู้ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ จิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้ รู้จักปรมาณูจากยูเรเนียม รู้จักประดิษฐ์แสงเลเซอร์ ตลอดจนประดิษฐ์คลื่นวิทยุติดต่อกันบนดินแดนอื่นได้
สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสสามารถประดิษฐ์พลังงานมหาศาลจาก "ผลึกมหัศจรรย์" ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรวมเอาพลังทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้นอาศัยพลังงานจาก "แสงอาทิตย์" เป็นสำคัญ
วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาโดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำ "พิธีกรรมบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า" วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติสหายสาบสูญไปในที่สุดเมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่
Edgar Cayce_1910 (By Wikimedia Commons)
ดินแดนของมหาอาณาจักรได้หายสาบสูญไปจากการเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ โดยสั่นสะเทือนและได้ถล่มถลายลงไปภายใต้ท้องทะเลเพียงชั่วคืนชั่ววัน ดังนั้นเมื่อ 9,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวแอตแลนติสก็ได้หายไปจากโฉมหน้าของโลก
ซึ่งวัฎจักรแห่งประวัติศาสตร์นั้นมักจะหมุนเวียนกลับมาเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสเกิดใหม่กลับมาได้อีกจากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งหรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ
และในความเจริญก้าวหน้าของแอตแลนติสนั้นเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบันหรืออาจจะมีความก้าวหน้ากว่ามาก ซึ่งโลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็อาจจะทำให้อาณาจักรนี้อาจจะโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้
คำทำนายอาจกลายเป็นจริง
จนเมื่อปี 2483 เคซี่ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆบริเวณ "หมู่เกาะบาฮามาส" (ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2511-2512) ปรากฎว่าคำทำนายของเคซี่ได้กลายเป็นจริงคือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้หมู่เกาะบาฮามาสเรียงต่อกันอย่างปราณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่พอๆกับรถบรรทุกเลยทีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันเรียงต่อกันซึ่งคงจะทำไม่ได้
เคซี่ยังทำนายต่อไปอีกว่าภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นจะทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติสอันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มถลายพังพินาศจมลงสู่ใต้ทะเลนั้นจะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก เคซี่กล่าวว่าในช่วงแรกสุดของโลกเราเมื่อประมาณ 10 ล้าน 5 แสนปีมาแล้วมีอารยธรรมเกิดขึ้นและเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
ยุคเจริญรุ่งเรืองของชาวแอตแลนติสอยู่ระหว่างช่วงนับจาก 2 แสนลงมาจนถึงปี 10,700 ก่อนคริสตกาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปีถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้วจะมีอายุยาวประมาณ 80,000-900,000 ปี นี่คือคำพยากรณ์บางส่วนของ "เอสการ์ เคซี่" ที่ทำนายพยากรณ์อดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี
ซึ่งในความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้นต้องรอคอยนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหาตำแหน่งจากบทบันทึกของเพลโตนั้นเอง
แอตแลนติสเป็นเรื่องราวงานเขียนของ "เพลโต" ที่ผู้นคนสนใจ ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเขาได้เล่าต่อๆกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ (ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว) ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่า..
ชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบและกระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองลงไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่าแอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็นเพียงจินตนาการของเพลโตก็เป็นได้ แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้จึงเป็นมนต์เสน่ห์ให้ทางนักประวัติศาสตร์และนักสำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติสจากที่เพลโตได้เขียนไว้
ตำแหน่งของอาณาจักรแอตแลนติสอยู่ไหน ?
ตำแหน่งที่ 1
แอตแลนติสได้ตั้งอยู่เลยเสาของ "เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส" ออกไป ซึ่งในปัจจุบันคือ "ช่องแคบยิบรอลตาร์" (Straits of Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติสจึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็น "หมู่เกาะอะซอเรส (Azores) เกาะมารีราส หรือคะแนรีส" แต่สุดท้ายการศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน
Gibraltar_eastside (By Wikimedia Commons)
ตำแหน่งที่ 2
เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆในมหาสมุทรแอตแลนติก ผู้คนที่มีความศรัทธาในอาณาจักรแอตแลนติสก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโตที่ว่า "พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส" น่าจะเป็น "ช่องแคบดาร์ดาแนลเลส” (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบยิบรอลตาร์ ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแทน
โดย "โรเบิร์ต ซาร์แมสต์" (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริสตกาล จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณที่ตั้งของแอตแลนติส
โดยบริเวณนี้จมลึงลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ท้องทะเลระหว่างไซปรัสและซีเรีย จากฟังสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำรวมถึงกำแพงที่ยาวถึง 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนติส
Ribert Sarmast (By Wikimedia Commons)
ตำแหน่งที่ 3
แต่การค้นพบของเขาก็ถูกโต้แย้งโดย "คริสเตียน ฮูบเชอร์" (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,000 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟใต้ทะเลได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนติสมาก่อนแล้ว ซึ่งสิ่งที่ซาร์แมสต์กล่าวไม่เป็นความจริง
ซึ่งก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าไปที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษไม่เว้นแม้กระทั้งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันนั้นก่อนหน้านี้คือภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ "อุทยานแห่งชาติกรานาด้า" ของสเปน
จากนักโบราณคดีของมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ รูปสี่เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆล้อมรอบ
อาณาจักรแอตแลนติสสร้างเพื่อใคร ?
ทีมวิจัยฯในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ "วิหารทองคำ" ที่ชาวแอตแลนติสสร้างขึ้นเพื่อบูชา "เทพโพเซดอน" (Poseidon) แห่งทะเล และ "วิหารเงิน" เพื่อบูชา "พระนางไคลโต" (Cleito) (เป็นภรรยาของเทพโพเซดอน) อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ผู้ปกครองนครแอตแลนติส แต่หลังจากภาพถ่ายดาวเทียมได้เผยแพร่ออกไปพื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการขุดพิสูจน์แต่อย่างใด
Poseidon-1621062_1280 (Credit intographics Pixabay Free)
เกาะแอตแลนติสนี้ขนาดแค่ไหน ?
โดยเกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มากใหญ่กว่าแอฟริกาและเอเชียรวมกัน และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่าง "เสาหินของเฮอร์คิวลีส" เกาะแอตแลนติสปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ที่ทรงอำนาจที่ปกครอง ไม่ใช่เพียงเกาะนี้แต่รวมถึงเกาะอื่นๆของแผ่นดินใหญ่ด้วย
ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือไกลออกไปถึงอียิปต์และยุโรปใต้ ไกลออกไปถึงอิตาลีราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติสนั้นล้วนเป็น "เชื้อสายของเทพโพเซดอน"
โดยแบ่งดินแดนให้โอรส 10 องค์ปกครอง โอรสองค์โตเป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมดเกาะที่มีชื่อเรียกว่า "แอตแลนติส" ส่วนมหาสมุทรเรียกว่า "แอตแลนติก" เพราะว่ากษัตริย์องค์แรกชื่อ "แอตลาส" (Atlas) ส่วนโอรสองค์อื่นๆ ก็ได้จัดสรรดินแดนกันทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวย และเป็นราชวงศ์ที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดทำได้มาก่อน
Atlas-6091051_1280 (Credit by Gordon Johnson Pixabay Free)
ในอาณาจักรแอตแลนติสมีอะไรบ้าง ?
ชาวแอตแลนติสไม่เพียงแต่สั่งสินค้าจากภายนอก แต่พวกเขาก็แทบจะผลิตทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันทั้งโลหะแข็ง โลหะอ่อน กับโลหะทองเหลือง "โอริชาคัม" (Orichalcum) ถือเป็นโลหะที่มีค่ามากที่สุดและทองคำ เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มีต้นไม้สีเขียวทุกแห่งหน อากาศที่แสนวิเศษทำให้ผลไม้สุกปีละ 2 ครั้ง
ในแผ่นดินมีช้างและสัตว์อื่นๆมากมาย ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง นครบนเขากลางเกาะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3,000 ฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพเซดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเลและป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลืองและโอริชาคัมสีแดง
ณ ตำแหน่งใจกลางนครคือมหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่ง "เทพโพเซดอน" สถานศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบด้วยกำแพงทองปกคลุมด้วยเงินเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง
ภายในวิหารมีทองคำของเทพขนาดใหญ่โตมโหราฬ ลากด้วยม้ามีปีก 6 ตัวล้อมรอบด้วยเชือกแห่งทะเลเป็นจำนวนร้อยเส้น ปลาโลมา และด้านนอกวิหารมีอนุเสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยพระชายา
และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็นสำหรับอาบ มีบ่อน้ำพุประดับสวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่ออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า พร้อมกับสนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือท่าเรือเต็มไปด้วยเรือสินค้าและเรือทหาร
ที่ราบนครล้อมรอบด้วยภูเขาและคลองไหลลึก 100 ฟุต กว้าง 600 ฟุตรวมกันแล้วยาวมากกว่า 3,000 ไมล์ และกษัตริย์ทั้ง 10 รวมกันปฎิญาณร่วมกันว่าจะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึก 10,000 คัน กองทัพเรือมีมากกว่า 1,000 ลำ
Atlantis City (By Wikimedia Commons)
การล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติส
เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัยผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองที่เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างยุติธรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน สิ่งที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานไม่คำนึงถึงกฎหมายคลั่งไคล้หลงใหลในอำนาจ
Zeus-2786077_1920 (Credit by Ingrid und Stefan Melichar Pixabay Free)
และแล้ว "เทพเจ้าซุส" (Zeus) กษัตริย์แห่งทวยเทพตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส จึงลงโทษพวกเขาและตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักรแอตแลนติสทันที
โดยเทพเจ้าซุสเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน แล้วก็เกิดมหันตภัยจากแผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ทั้งวันทั้งคืนอย่างโหดร้าย แผ่นดินได้แยกและกลืนกินนักรบแห่งเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะที่ยิ่งใหญแห่ง "ชนชาติแอตแลนติส" ก็ได้จมหายไปในทะเลด้วยจวบจนทุกวันนี้
จนถึงทุกวันนี้น้ำในมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขินเรือผ่านไม่ได้กลายเป็นสันดอนดินโคลนซึ่งเกิดจากแผ่นดิน เมื่อครั้นเกาะแอตแลนติสถล่มจนหายสาบสูญไป ดังนั้นมีเพียงบุคคลเดียวที่ได้บันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ก็คือ "เพลโต" คนเดียวที่เอ่ยขึ้น แต่ก็ไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ได้ว่า สิ่งที่เพลโตเขียนนั้น เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องลวงโลกกันแน่
หรือจะเป็นเพียงอาณาจักรที่ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเพียงนิยายที่เขียนขึ้นเองโดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ “เดอะ รีพับบลิก” (The Republic) ของเพลโตเอง
แต่ถึงแม้ว่าเพลโตจะเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนอีกหลายคนที่ไม่ได้เชื่อว่า "แอตแลนติส" ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่นิยาย พวกเขาเหล่านี้มีความรู้สึกว่าอยากจะให้ "แอตแลนติส" มีอยู่จริงๆ และยังคงเฝ้าตามหา สืบเสาะไปยังใต้มหาสมุทรต่างๆและหวังที่อยากจะเห็นความยิ่งใหญ่ของ "มหาอาณาจักรแอตแลนติส" นี้อีกครั้ง
ขอบคุณภาพและเนื้อหาต่างๆจาก : กูลเกิล, วิกิพีเดียร์
ภาพฟรีและสวยจาก : Pixabay