ความเชื่อของคนไม่มีศาสนา
ในโลกนี้มีคนราวๆ 7,700 ล้านคนทั่วโลก แต่เชื่อหรือไม่ว่า มีคนที่ไม่นับศาสนาอะไรเลยมากถึง 1,100 ล้านคน หรือคิดเป็น 14.3% หรือพูดง่ายๆ ว่า ทุกๆ 7 คนที่เดินผ่านเราไป จะมีคนที่ไม่นับศาสนาอยู่ 1 คนเสมอ นี่คือ ตัวเลขของคนทั่วโลกโดยเฉลี่ย แถมตัวเลขของคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยนั้น ได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงทศวรรษหลังๆด้วยซ้ำไป ตัวเลขคนไม่นับถือศาสนานี้มากเป็นอันดับ 3 รองจาก ศาสนาคริสต์ และอิสลาม
ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตย มักจะให้สิทธิประชาชนของตนในการนับถือศาสนาอะไรก็ได้ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น การนับถือศาสนาถือเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน แม้ว่าประเทศไทยจะยังเป็นประเทศที่ประชาชนนับถือศาสนาพุทธมากที่สุดมากกว่าศาสนาอื่นถึงกว่า 95% ของประชากรไทยทั้งหมดราว 70 ล้านคนก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เป็นการนับถือตามพ่อแม่มากกว่า คนไทยที่จะมีความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาจริง หรือมีการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธได้ทุกอย่างนั้น คาดว่าจะมีเพียงครึ่งเดียว
เหตุผลที่เป็นแบบนั้น เพราะว่า คนรุ่นใหม่ตั้งแต่เจนเอ๊กซ์ เจนวาย ลงมาจนถึงเจนเอ็มนั้น เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมมาก ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามาลบล้างความเชื่อเดิมๆ ของคนรุ่นเก่าเสียเกือบหมด เราได้เห็นภาพคนรุ่นใหม่เข้าวัดน้อยลงมากหรือไม่เข้าเลย เราได้เห็นภาพของคนรุ่นใหม่ไปเวียนเทียนเพียงเพื่อเซลฟี่ถ่ายรูปลงเฟสบุ๊คอวดเพื่อนๆเพียงเท่านั้น เราได้เห็นข่าวไม่ดีของพระสงฆ์ รวมไปถึงความขัดแย้งกันทางความเชื่อระหว่างสองนิกายของพุทธศาสนา ภาพเหล่านี้ได้ทำให้ศาสนาพุทธเองค่อยๆเสื่อมความนิยมลงไปมาก มีความเชื่อกันว่า ศาสนาพุทธนิกายหินยานที่มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้ามาแต่เดิมนั้น น่าจะเลือนหายไปจากโลกในราว 100 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต่างจากการที่พุทธศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงไปในประเทศอินเดีย
หากดูตามหลักการพื้นฐานการเกิดขึ้นของศาสนาทุกศาสนานั้น เหตุผลสำคัญของการกำเนิดเกิดขึ้นของศาสนาคือ เพื่อมาตอบสนองสภาวะความไม่มั่นคงของชีวิตของมนุษย์ มนุษย์ในอดีตมีความกลัวต่อภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือ น้ำท่วม อย่างไรก็ตาม แม้โลกจะวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้หลายอย่างแล้ว หรือมีวิทยาศาสตร์มาช่วยอธิบายความจริงกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่สภาวะความไม่มั่นคงในชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันก็ยังก็ไม่ได้หายไปไหนซะทีเดียว แต่กลับเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบอื่นๆ แทน เช่น การแข่งขันในการทำธุรกิจ การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในสังคม นั่นคือ เหตุผลที่ผลักดันให้คนส่วนหนึ่งหันมาเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ และหันมาบูชาเงินเป็นหลักในการนำทางชีวิตแทน เพราะดูแล้วจะใกล้เคียงเรื่องเรียลริสติกส์มากกว่า
ทุกวันนี้ เด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก มีการตั้งคำถามถึงความล้าสมัยของความเชื่อของแบบพุทธ โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและการมีภพชาติหน้านั้นเป็นความจริงหรือไม่ คนในยุคใหม่มองว่าเป็นเพียงกลอุบายของศาสนามากกว่าจะเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากในทางวิทยาศาสตร์ไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้ ฌอน คาร์รอล ศาสตราจารย์จักรวาลวิทยาและฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ระบุว่าจิตใต้สำนึกของเราจะแยกออกจากร่างกายทันทีเมื่อเสียชีวิต วิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์และตรวจสอบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในทฤษฎีควอนตัมที่เป็นทฤษฎที่ยอมรับกันทั่วโลก โดยทฤษฎีนี้ก็สรุปออกมาอย่างชัดเจนว่า ทุกชีวิตทุกอนุภาคในโลกนี้มีแค่ 1 ภพเท่านั้นไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว เมื่อมนุษย์เสียชีวิตแล้วสิ่งที่เหลืออยู่จะเหลือแค่อะตอมและอิเล็กตรอนเท่านั้น ซึ่งข้อมูลต่างๆในสมอง รวมไปถึงความคิดและความจำก็จะเลือนหายลงไปพร้อมกับการตายของเราด้วย
นอกจากนี้ ยังมี ทฤษฏีของศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์เจ้าของรางวัลโนเบล ที่เขาเชื่อว่าสวรรค์-นรกไม่มีอยู่เพียงเป็นเพียงเรื่องหลอกเด็ก โดยในช่วงปี ค.ศ 2011 ที่ก่อนเสียชีวิตศาสตรจารย์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า“นับตั้งแต่ที่หมอวินิจฉัยว่าผมเป็น ALS และอาจมีชีวิตได้ไม่เกิน 2 ปี แต่หลังจากนั้นผมกลับได้ใช้ชีวิตอยู่มาถึง 49 ปี ผมไม่เคยกลัวตาย แต่ผมจะไม่รีบตาย เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากทำ ผมมองว่าสมองก็เหมือนคอมพิวเตอร์ มันจะหยุดทำงานเมื่อองค์ประกอบอื่นๆในร่างกายล้มเหลว ไม่มีสวรรค์หรือชีวิตหลังความตายสำหรับคอมพิวเตอร์ที่เสีย มันก็เป็นแค่นิทานที่หลอกให้คนกลัวความมืดเท่านั้น”