ตำรับความงามและเครื่องสำอาง "ยุคอียิปต์โบราณ"
“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ความงามเป็นของคนทุกเพศทุกวัยกันมาในทุกยุคทุกสมัย และหนึ่งในยุคสมัยที่เป็นจุดเริ่มต้นของความงามคงหนีไม่พ้น "อียิปต์โบราณ" นั่นเอง
เพราะชาวอียิปต์โบราณนั้นให้ความสำคัญกับรูปโฉม และการประทินโฉมเป็นอย่างมาก ตั้งแต่สมัยยุคก่อนราชวงศ์เมื่อประมาณ 6000 ปีถึง 3150 ปีก่อนคริสตกาล และเชื่อกันว่าเครื่องสำอางนั้นช่วยบำบัดโรคภัยได้ ซึ่งมีเพียงผู้หญิงและผู้ชายชนชั้นสูงเท่านั้นที่มักจะใช้เครื่องประทินโฉม
ซึ่งนักโบราณคดีค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับ "น้ำมันหอม" และเครื่องสำอางชนิดต่างๆ มาตั้งแต่เมื่อเกือบหนึ่งหมื่นปีมาแล้วจากศิลปะของชาวอียิปต์โบราณ ที่ปรากฎภาพจารึกที่อยู่บนผนัง,วิหาร หรือสุสานต่างๆ ก็จะเห็นว่าพวกเขานิยมแต่งหน้าแต่งตาไว้อย่างเด่นชัด และไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะสตรีเท่านั้น ถ้ามองดีๆก็จะพบว่าบุรุษเพศก็มีการทาขอบตาเสริมความหล่อเช่นกัน
เครื่องสำอางที่พบในดินแดนไอยคุปต์ทำมาจากอะไรบ้าง
โดยมากจะทำมาจากหินแร่ต่างๆในธรรมชาติ และมีสารอันตรายอย่างการใช้ "ตะกั่ว" มาแต่งหน้าทาผิวด้วย แต่อย่างน้อยๆเครื่องสำอางของชาวอียิปต์ก็คงไม่มีเรื่องของสารเคมี หรือพวกสารสังเคราะห์ต่างๆเข้ามาเจือปนอย่างแน่นอน
ที่นี่มาดูกันว่าอียิปต์ใช้สารอะไรกันบ้าง
1. น้ำมันและไขมันซึ่งสกัดจากพืชและจากไขมันสัตว์นานาชนิด เช่น ไขมันจากห่านและจากน้ำมันมะรุม
2. ครีมขี้ผึ้งเพื่อป้องกันแสงแดดประหนึ่งครีมกันแดดในสมัยนี้
3. รองพื้นด้วยสารสีขาวซึ่งทำจากคาร์บอเนตของ "ตะกั๋ว" (Cerussite)
4. การทาขอบตาด้วยสีดำและสีเขียวในยุคแรกและยุคราชอาณาจักรเก่า (Old Kingdom)
-จะมักนิยมใช้แร่สีเขียวจาก "มาลาไคท์" (Malachite) ซึ่งเป็นสินแร่ทองแดงมาทาขอบตา
-ก่อนจะเปลี่ยนมานิยมใช้สีดำจาก "โคล" (Kohn) และ "ถ่านคาร์บอน" (Carbon) ในภายหลัง
Ancient_Egyptian_Kohl_pot_minature_pestle_and_mortar_Wellcome_M0016473
Ancient_Egyptian_kohl_pot_and_stick,_1800-200_BCE_Wellcome_L0065483
โดยเขาจะค่อยๆใช้แท่งไม้มาจุ่มลงในโคลและทาขอบตาเหมือนอายไลเนอร์ หรือผงทาขอบตาสีดำลงบนหนังตาด้านบนและด้านล่าง และปาดตั้งแต่มุมขอบตาด้านในออกไปยังด้างข้าง ทาคิ้วให้เข้มด้วยสีดำ เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าการทาขอบตานั้นมีพลังทางเวทมนต์ และการเยียวยารักษานั่นเองและเป็นการลดการติดเชื้อรอบดวงตาจากแสงแดดและฝุ่นได้อีกด้วย
5. การใช้ดินเทศสีแดง (Red Ochre) ผสมเข้ากับน้ำเพื่อทาปากแทนลิปสติก
6. การทาเล็บให้มีสีเหลืองและสีส้มนั้นจะใช้จากต้นเฮนนา (Henna) ถ้าภาษาไทยเรียกว่า "ต้นเทียนกิ่ง" หรือสกัดสีจากต้นไม้มาทำเป็นสีทาเล็บ
ขั้นตอนการประทินผิวส่วนต่างๆ
1. การเตรียมผิว จะขัดผิวด้วยเกลือทะเลเดดซี หรืออาบน้ำนม มาสก์หน้าด้วยนมและน้ำผึ้ง ใช้เม็ดธูปเพื่อดับกลิ่นใต้วงแขน ตามด้วยดอกไม้ผสมเครื่องเทศเพื่อบำรุงผิวให้เนียนนุ่มขึ้น การแว๊กซ์ขนก็ใช้น้ำตาลและน้ำผึ้ง
2. การเตรียมเครื่องสำอาง
เมื่อเตรียมผิวเรียบร้อยแล้ว เหล่านางกำนัลก็จะนำส่วนผสมและอุปกรณ์มากมายที่จำเป็นการแต่งหน้าใส่ในบรรจุภัณฑ์ โดยบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอางก็สามารถสื่อถึงสถานะทางสังคมได้ด้วย เช่น ถ้าสังคมชั้นสูงจะใช้ แก้ว ทองคำ หีบ และหินมีค่า หรือทำจากงาช้างแกะสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจงและมีการประดับด้วยเพชร แกะสลักเป็นรูปสัตว์หรือเทพธิดา เป็นต้น และนางกำนัลจะทำอายแชโดว์โดยการผสมแป้งมรกตกับไขมันสัตว์หรือน้ำมันจากเมล็ดพืช ก่อนจะนำมาทาตาด้วยงาช้างที่แกะสลักเป็นรูปเทพีฮาเธอร์หรือสัตว์ต่างๆ แต่หากเป็นคนที่มีสถานะยากจนมาหน่อย มักจะเก็บเครื่องประทินโฉมไว้ในหม้อดินแทน
Beauty and cosmetics in ancient Egypt_By Wikipedia Commons
Cosmetics_spoon_img_0118_By Wikimedia Commons
3. ลิปสติก
เป็นขั้นตอนสุดท้ายคือทาลิปสติกสีแดง การใช้ดินเทศสีแดง (Red Ochre) ผสมกับน้ำ และอาจใช้ทาบริเวณแก้มด้วย ซึ่งสำหรับพระนางคลีโอพัตรานั้นมีการบดขยี้แมลงนำลงไปผสมด้วย เพื่อจะได้มีเฉดสีแดงอย่างที่ตรงใจเธอ ซึ่งลิปสติกนั้นอาจจะเกิดสารพิษได้เพราะมักจะผสมกับสีย้อมที่สกัดจากไอโอดีนและโบรมีน นำมาซึ่งความเจ็บป่วยที่รุนแรงได้เช่นกัน
4. เล็บ
จะใช้สีเหลืองและสีแดงในการทา สีที่ได้ก็นำมาจากต้นเฮนนา หรือสีที่สกัดจากต้นไม้
5.การลดรอยเหี่ยวย่น
จะใช้ยางเหนียวของไม้หอม ขี้ผึ้ง น้ำมะรุมสด และหญ้าแห้วหมูมาบดผสมน้ำและผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน และนำมาทาผิวเป็นประจำทุกวัน
และเมื่อแต่งหน้าแล้วเวลาทำความสะอาดเครื่องสำอางออกจากผิวก็คือ "น้ำมันและปูนขาว"
Egyptian_cosmetic_set_By Wikimedia Commons
ดังนั้นเครื่องสำองของชาวอียิปต์โบราณที่นำมาใช้จะได้จากธรรมชาติ เช่น ต้นไม้, สัตว์, และแร่ต่างๆ กับสารตะกั่วผสมอยู่ ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่พอเหมาะก็มีประโยชน์ในการป้องกันเชื้อโรค แบคทีเรียต่างๆไม่ให้เข้าสู่ดวงตาได้
แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากเกินไปก็ส่งผลถึงร่างกายที่ได้รับสารตะกั่วเป็นเวลานานจนสะสม จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น อาการปวดท้อง ท้องผูก เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน พิษทางประสาทและสมอง หรืออันตรายถึงแก่ชีวิตได้ด้วยเช่นเดียวกันนั่นเอง
ขอบคุณภาพปกจาก : Credit By oliana_gruzdeva Frome Pixabay License
ขอบคุณภาพประกอบจาก : กูลเกิ้ล, วิกิพีเดียร์