รีวิวไม่สปอยล์ น้องพี่ดนตรีเพื่อน My Tempo หนังวายสุดฟินจากน้อง Proxy ของพี่ติ๊ก พี่มะเดี่ยว
น้องพี่ดนตรี+เพื่อน เลื่อนฉายจาก 22 กันยายน ที่ผ่านมาเพื่อตั้งใจมาชนกับ BLACK ADAM โดยตรง เนื่องจากสัปดาห์นี้ไม่มีหนังเรื่องอื่นที่เข้าฉายทั่วประเทศอีกเลย ชื่อภาษาอังกฤษ MY TEMPO ผลงานล่าสุดของพี่มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เจ้าของ รักแห่งสยาม และ ดิวไปด้วยกันนะ เรื่องนี้ได้นำน้องๆ พร็อกซี่ PROXY และพ่อของพวกเขาคือพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี มาสร้างปรากฏการณ์วายรุ่นมัธยมให้สุดฟินเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงดนตรีที่เป็นความสามารถของเด็กๆ จริงอันไพเราะเสนาะหูท่ามกลางบรรยากาศล้านนาเชียงใหม่ในยุคปัจจุบัน จัดเป็นหนังรอมคอมมิวสิคก็ว่าได้ ส่วนความวายชายรักชายนั้นถูกถ่ายทอดออกมาแบบสวยงามเหมือนมิตรภาพที่ขาดกันไม่ได้มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของความต้องการด้านเพศ เรียกได้ว่าดูแล้วอบอุ่น สวยงาม โรแมนติก เพลิดเพลิน จรรโลงใจ มีความสุข แต่น่าเสียดายที่สิ่งดีๆ ในหนังเรื่องนี้อยู่ในส่วนแรกของหนังหรือเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขขึ้นในโรงเรียนมัธยมแผนกดนตรีที่เชียงใหม่เท่านั้น
เนื้อหาคือ โรงเรียนมัธยมคริสเตียนแผนกดนตรี ดำเนินกิจกรรมได้ด้วยรายได้จากสปอนเซอร์ที่สนับสนุนผลงานของดูโอ้โฟร์แฮนด์ โฮป-เซกิ ซึ่งไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นแตกหักเนื่องจากคนหนึ่งก็เล่นตามโน้ต อีกคนหนึ่งก็ชอบเล่นอิมโพรไวส์ โฮปเป็นคนบ้านจน ต้องดิ้นรนหากินด้านดนตรีต่อไปให้ได้ ในขณะที่เซกิบ้านรวยไม่แคร์สิ่งใดเพราะมีช่องยูทุบและแฟนคลับมากมาย ตะวันพระเอกของเรื่องได้รู้จักโฮปโดยบังเอิญและอยากหาทางช่วย ทั้งไปอ้อนวอนเซกิ หาคู่ซ้อมให้หรือแม้แต่มาเป็นคู่ดูโอ้เอง แต่ความเป็นจริงตะวันมีความสามารถที่หลากหลายและถนัดเปียโนมากกว่า ในขณะที่โรงเรียนก็ต้องปั้นเด็กใหม่ขึ้นมาเพื่อหาทุน โชคดีที่มีนักเรียนใหม่เก่งเปียโนชื่อแทคุณเข้ามาเป็นความหวัง
หนังในส่วนที่เล่าเรื่องราวของเด็กๆ ในโรงเรียนเป็นส่วนที่สนุกสนานน่าสนใจน่าติดตามมาก เรื่องสวยงามมิตรภาพเบ่งบานจนคนดูไม่ได้สนใจเรื่องทางเพศ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอยู่ดีๆ เรื่องก็ตัดเข้าไปกลายเป็นอีกเรื่องตามที่เห็นในตัวอย่างได้อย่างไร ในส่วนแรกของเรื่องนี้แทบไม่ได้ถูกตัดมาอยู่ในตัวอย่างเลยทั้งที่เป็นส่วนที่ดีและได้โชว์ความสามารถของนักแสดงทุกคน
ส่วนที่ตัดเป็นหนังตัวอย่างโฆษณาส่วนใหญ่ มาจากท้ายเรื่องทั้งหมด เป็นส่วนของการประกวดคู่จิ้นที่กรุงเทพฯ โดยมีพี่ติ๊กเป็นผู้จัด ดูแล้วเหมือนเป็นหนังคนละเรื่อง จากหนังใสๆ สวยงาม กลายเป็นหนังอะไรก็ไม่รู้ที่เพียงแค่ใช้ตัวละครเดียวกันและช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ความดีความดื่มด่ำที่ผ่านมาค่อนเรื่องสูญหายไปหมดเพราะส่วนท้ายเรื่อง แนะนำท่านที่อยากเก็บความสุขความประทับใจจากเรื่องนี้ให้ดูแค่ประมาณชั่วโมงครึ่ง พอตัวหนังสือแจ้งว่ากรุงเทพฯ 2022 แล้วสามารถออกจากโรงได้เลย หรือถ้าอยากพิสูจน์ว่าแตกต่างกันจริงหรือไม่ก็ตามสะดวกนะครับ
ถ้าแบ่งหนังออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกกินเวลาประมาณ 70% ของเรื่องเราให้คะแนนเต็ม ส่วนท้ายไม่ให้คะแนนเลย สรุปได้เท่ากับ 7/10 อยากรู้ว่าส่วนท้ายเรื่องนั้นให้ความรู้สึกอย่างไรต้องทนดูให้จบเองนะครับไม่อยากสปอยล์