วิธีดับ 3 กลิ่นนี้ตามร่างกายที่หลายๆคนกำลังหาวิธีอยู่มาดูวิธีเลย เต่าหอม,ปากหายเหม็น,เท้าไม่มีกลิ่น
เคยรู้สึกขมคอเวลาอยู่ใกล้คน กลิ่นตัว แรงไหม?
อย่าปล่อยให้มีปัญหาเรื่องกลิ่นตัว เหงื่อออกใต้รักแร้ เด็ดขาด!
ปัญหาเรื่องกลิ่นตัว รักแร้เปียก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนตลอดเวลา ยิ่งในอากาศร้อนแบบบ้านเรา ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี รับรองว่าปัญหาเรื่องใต้วงแขนต่างๆ ตามมาแน่นอน แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ปัญหานี้นอกจากจะรบกวนคนรอบข้างแล้ว ยังทำให้เราเสียบุคลิกหมดความมั่นใจไปง่ายๆ อีกด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเพราะทุกคนที่กำลังเจอปัญหาเรื่องกลิ่นตัวแรงหรือรักแร้เปียก สามารถแก้ไขได้ไม่ยาก กับ 8 วิธีกำจัดกลิ่นตัวและรักแร้เปียก
1. ห้ามขี้เกียจอาบน้ำ
เราควรอาบน้ำทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้เหงื่อไหลไคลย้อย แต่ว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ยังไงก็ต้องมีความอับชื้น ตามจุดอับ หรือข้อพับต่างๆ ดังนั้นต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดทุกซอกทุกมุม
2. ผ้าเช็ดตัวก็มีผล
กี่วันถึงซักผ้าเช็ดตัว? ผ้าเช็ดตัวเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย ทำให้เกิดกลิ่นอับ พอเราเอาผ้าเช็ดตัวมาสัมผัสกับผิวกาย กลิ่นก็จะติดตัวได้ง่ายมาก ดังนั้นเราควรซักผ้าเช็ดตัวหลังใช้อย่างน้อยทุก 3-5 วัน เพื่อความสะอาด
3. สวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบาย
เรื่องของเสื้อผ้าก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นเหงื่อได้เช่นกัน ใครที่มีเหงื่อเยอะ แนะนำให้สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ระบายอากาศได้ดี อย่างเช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน หรือเลือกเสื้อที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ ช่วยให้ใส่แล้วเย็นสบายตัว
4. เลี่ยงทานอาหารรสจัด/มีกลิ่นแรง
อาหารที่มีรสจัดหรือมีกลิ่นแรง อย่างเช่น กระเทียม สะตอ อาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศรวมถึงเนื้ออสัตว์ เมื่อรับประทานเข้าไปกลิ่นจะเข้าไปสะสมในร่างกายและขับออกมาทางเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้นอาหารเหล่านี้ทานได้ แต่ว่าควรทานแต่น้อยจะดีกว่า
5. ซักเสื้อผ้าให้สะอาด
แน่นอนว่าเสื่อผ้าที่สวมใส่มาทั้งวันจะเกิดการหมักหมม เมื่อถอดแล้วควรซักเสื้อผ้าให้เร็วที่สุดไม่ปล่อยทิ้งไว้นานหลายวัน และเน้นซักบริเวณใต้วงแขนหรือรักแร้ให้สะอาด การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มก็จะช่วยให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้นและที่สำคัญควรตากเสื้อผ้าในพื้นที่โล่งโปร่ง ตากให้แห้งสนิท เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นอับ
6. โกนขนอย่างสม่ำเสมอ
ขนบริเวณรักแร้ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว เพราะรักแร้เป็นส่วนอับในร่างกาย ยิ่งมีขนแล้วหากที่ไม่กำจัดจะเป็นแหล่งสะสมของทั้งเหงื่อและแบคทีเรีย จนทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ขนรักแร้ยาว ต้องคอยกำจัดออกอย่างสม่ำเสมอ
7. ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
อีกหนึ่งตัวช่วยที่ง่ายที่สุด อย่างผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ดับ กลิ่นตัว ซึ่งในปัจจุบันก็มีออกมาหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นโรลออน สารส้ม ฯลฯ ใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นตัว ควรใช้หลังอาบน้ำเพื่อกลิ่นหอม
8. ฉีดโบท็อกซ์ช่วยได้
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการฉีดโบท็อกซ์บริเวณต่างๆ บนใบหน้าเพื่อปรับรูปหน้าให้สวยเรียวหรือลดริ้วรอย แต่มีใครรู้บ้างว่าโบท็อกซ์ก็สามารฉีดบริเวณรักแร้ได้เหมือนกัน
โดยการฉีดโบท็อกซ์ จะเป็นการฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum toxin type A) เข้าไปบริเวณรักแร้ข้างละ 20-30 จุด เพื่อยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อน้อยลงได้กว่า 80% พอเหงื่อลดลง กลิ่นตัวก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งสามารถเห็นผลได้ภายใน 3-7 วันหลังฉีด และจะอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน จากนั้นโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปจะสลายได้เองตามธรรมชาติ แม้ว่าการฉีดโบท็อกรักแร้ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหงื่อและกลิ่นตัวได้อย่างถาวร แต่เราสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้เรื่อยๆ เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมอย่างมาก
แม้ว่า กลิ่นตัว จะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่อย่าปล่อยทิ้งไว้เด็ดขาด ถ้าใครมีปัญหาเหงื่อออกมาก รักแร้มีกลิ่นเหงื่อกลิ่นตัวแรง ต้องรีบดูแลจัดการตัวเองให้ดีตามวิธีที่เราแนะนำไปข้างต้นได้เลย นอกจากเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองแล้ว ยังไม่รบกวนคนรอบข้างอีกด้วย
กลิ่นเท้าเกิดจากอะไร?
อาการเท้าเหม็น เท้าส่งกลิ่น หรือ Pitted Keratolysis เกิดจากเหงื่อและแบคทีเรีย เหงื่อของคนเรานั้นมี 2 ชนิด คือแบบมีกลิ่น และไม่มีกลิ่น เหงื่อที่มีกลิ่นถูกสร้างมาจากต่อมที่เรียกว่า Apocrine Sweat Gland เป็นต่อมเหงื่อที่พบได้บริเวณบางส่วนของร่างกาย เช่น รักแร้ และขาหนีบ ส่วนเหงื่อที่ไม่มีกลิ่นถูกผลิตจากต่อมที่เรียกว่า Eccrine Sweat Gland เป็นต่อมเหงื่อที่พบทั่วไปตามร่างกายรวมถึงบริเวณเท้า ดังนั้นเหงื่อที่เท้าจึงไม่มีกลิ่น แต่กลิ่นเท้าเกิดจากการที่แบคทีเรียย่อยสลายสารในเหงื่อเพื่อใช้เป็นพลังงานที่เรียกว่า Methanethiol Gas ซึ่งมีกลิ่น นอกจากแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นแล้ว ยังมีแบคทีเรียบางชนิดที่ย่อยสลายสารในเหงื่อแล้วเกิดเป็นกรดอะมิโนซึ่งทำให้เกิดกลิ่น
อาการของเท้าส่งกลิ่นเกิดขึ้นได้ทั้งกับหญิงและชาย ทั้งเด็กละผู้ใหญ่ หลายคนมีอาการเท้าเหม็นไม่เลือกฤดูกาล วันนี้ Central Inspirer จึงขอแนะนำ 5 เทคนิคช่วยแก้ปัญหากลิ่นเท้ามาฝาก มาดูกันเลยค่ะ
5 เทคนิคช่วยแก้ปัญหากลิ่นเท้า
1. ตัดเล็บและหมั่นทำความสะอาดเท้า
ตัดเล็บทุกอาทิตย์ และหมั่นทำความสะอาดเท้าบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตก มีความชื้นแฉะ หรือในช่วงอากาศร้อน ใครที่ใส่ถุงเท้าอับนานๆ มักมีเหงื่อออกมาก ทำให้ผิวหนังยุ่ยและติดเชื้อแบคทีเรียง่าย ดังนั้นคุณควรล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง อาจโรยแป้งฝุ่นเพื่อลดความอับชื้น และไม่ควรใส่ถุงเท้าตอนเท้ายังเปียกหรือยังไม่แห้งดี
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นเท้า
ปัจจุบันมีผงแป้ง และสเปรย์ลดกลิ่นเหม็นของเท้าออกมาให้เลือกใช้อยู่มากมาย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถช่วยระงับกลิ่นอับ และเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นเท้าได้ ผงแป้งมีคุณสมบัติช่วยดูดซึมความชื้นจากเหงื่อได้ดี เราสามาถเลือกใช้แป้งเด็ก แป้งเย็น หรือแป้งข้าวโพดมาทาให้ทั่วเท้าก่อนใส่ถุงเท้าหรือรองเท้า หรือจะนำไปโรยในรองเท้าให้ทั่วก่อนสวมใส่ด้วยก็ได้ ส่วนการสเปรย์ระงับกลิ่นเท้าก็ทำได้ง่ายๆ เพียงสเปรย์ไปรอบๆ เท้าที่แห้งและสะอาด รอให้สเปรย์แห้ง แล้วสวมรองเท้าก็จะช่วยบรรเทากลิ่นเท้าที่ไม่พึงประสงค์ได้
3. แช่เท้าในเกลือผสมน้ำอุ่น
ลองใช้เกลือสัก 2 – 3 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น แล้วแช่เท้าประมาณ 15 นาที ทำอย่างนี้ได้ทุกวัน รับรองว่ากลิ่นเท้าของคุณจะทุเลาลง หรืออาจจะหายเหม็นไปเลยก็เป็นได้
4. ทำความสะอาดถุงเท้า และรองเท้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่น นอกจากจะเกิดจากเหงื่อของคุณแล้ว ถุงเท้า และรองเท้าที่เก่า สกปรก ใส่ซ้ำๆ ทุกวัน ไม่รู้จักเปลี่ยนก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นเท้าได้ ควรสลับสับเปลี่ยนรองเท้าบ้าง รองเท้าคู่ไหนที่ไม่ใส่ก็หมั่นเอาไปตากแดด เพราะแสงแดดช่วยในการดับกลิ่นรองเท้าได้ ถุงเท้าก็เหมือนกัน ใส่แล้วก็อย่าใส่ซ้ำ เพราะทั้งวันที่คุณอบเท้าไว้ในถุงเท้าและรองเท้าทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ วัตถุดิบในการผลิตรองเท้าก็มีส่วนให้รองเท้าเหม็นได้เหมือนกัน เมื่อเลือกซื้อรองเท้า ควรเลือกรองเท้าที่ทำจากวัสดุที่อากาศผ่านได้ดี เช่น หนัง ผ้า ผ้าใบ หรือผ้าใบตาข่าย ไม่ซื้อรองเท้าที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์โดยเฉพาะพลาสติก และควรเลือกซื้อรองเท้าที่พื้นด้านในมีคุณสมบัติซับน้ำและระบายเหงื่อได้
5. กระดาษหนังสือพิมพ์ช่วยได้
นอกจากการหมั่นเอารองเท้าไปตากแดดแล้ว ลองฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ ม้วนเป็นก้อนแล้วยัดลงไปในรองเท้า ทิ้งไว้ข้ามคืน หมึกจากหนังสือพิมพืมีส่วนช่วยดูดกลิ่นจากรองเท้า ช่วยให้กลิ่นเบาบางลง และเมื่อเราใส่รองเท้า กลิ่นเหม็นของเท้าก็จะทุเลาลงด้วย
1. การแปรงฟัน
ทำความสะอาดช่องปากให้ดีโดยการแปรงฟันให้สะอาด แปรงลิ้น และใช้ไหมขัดฟันให้เรียบร้อยอยู่เป็นประจำ เพื่อกำจัดเศษอาหารที่หมักหมมจนเกิดกลิ่นเหม็นในช่องปากได้
2. ใช้สเปรย์ระงับกลิ่นปาก
สกัดการเกิดกลิ่นปาก ด้วยการใช้สเปรย์ระงับกลิ่นปาก ฉีดเข้าไปในช่องปากก่อนสวมใส่หน้ากากอนามัย เพื่อช่วยระงับกลิ่นปากและช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่น
3. อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง
อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง (เลือกแบบไร้น้ำตาลเท่านั้น หากเลือกแบบมีน้ำตาลกลิ่นอาจจะเหม็นมากกว่าเดิม) เพื่อดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในกรณีเร่งด่วนหากไม่สะดวกที่จะแปรงฟัน แต่จะช่วยระงับกลิ่นได้เพียงชั่วคราว เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
4. เลี่ยงการทานอาหารที่มีกลิ่นแรง
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม สะตอ และหลีกเลี่ยงและการกินสิ่งที่จะดูดน้ำออกจากร่างกาย คาเฟอีน แอลกอฮอล์ ก็จะช่วยป้องกันกลิ่นปากเหม็นได้เช่นกัน โดยกลิ่นเหล่านี้จะออกมาทางปากและลมหายใจ
5. การดื่มน้ำเยอะๆ
ดื่มน้ำเยอะๆ การดื่มน้ำจะช่วยป้องกันกลิ่นลมหายใจ เพราะถ้าหากปากของเราแห้ง จะเป็นสภาวะแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับซัลเฟอร์เหม็นๆ ดังนั้น ควรดื่มน้ำบ่อยๆเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของน้ำลายในช่องปาก และช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลายได้
6. ไม่สูบบุหรี่
ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นการสะสมของสารเคมีจากควันบุหรี่และเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งยังทำให้ปากแห้ง ปริมาณน้ำลายในปากลดลงทำให้ประสิทธิภาพการชะล้างเชื้อแบคทีเรียในปากลดลง ทำให้เกิดกลิ่นปากอย่างรุนแรงขึ้น
7. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือน
เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือน (เป็นช่วงระยะเวลาที่สูงที่สุดที่ American Dental Association แนะนำมา) หรือเมื่อขนแปรงบาน การเปลี่ยนแปรงสีฟันจะช่วยความสะอาดช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หากขนแปรงสีฟันบานเกินไปหรือมีอายุการใช้งานมากกว่า 3 เดือน จะส่งผลให้คราบพลัค (plaque) และสิ่งสกปรกเกิดสะสมภายในช่องปาก ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ก่อให้เกิดปัญหาในช่องปาก รวมถึงมีกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์
สรุป
สำหรับเคล็ดลับการดูแลลมหายใจให้หอมสดชื่น หากปฏิบัติตามเคล็ดลับทั้งหมดแล้ว ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นปากอยู่, ลมหายใจไม่หอมสดชื่น แนะนำให้มาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก เพื่อค้นหาและกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปากขึ้น อย่างไรก็ตามอย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี โดยการเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน หรือใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง