'รอยเท้าบนดวงจันทร์' รอยเท้าที่จะอยู่ไปอีกนานเป็นล้านปี
หลังจากที่สองชาติมหาอำนาจ
อย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
ต่างทำศึกกันอย่างดุเดือดเพื่อช่วงชิง 'จ้าวแห่งอวกาศ'
ในช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งดูเหมือนในช่วงแรก
สหภาพโซเวียตเองจะดูได้เปรียบอยู่มาก เพราะสามารถทำภารกิจสำคัญๆ
ได้ก่อนสหรัฐ ทั้งการส่งดาวเทียมดวงแรกของโลก
อย่าง 'สปุตนิก1' การส่งสุนัขอวกาศ 'ไลก้า ไปกับยาน สปุตนิก2'
และภารกิจครั้งใหญ่ที่ตบหน้าอเมริกาอย่างจัง
คือการส่งมนุษย์อวกาศคนแรก 'ยูริ กาการิน' ขึ้นสู่วงโคจร
และกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้สหรัฐเองต้องพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนา
เทคโนโลยีอวกาศให้ทัดเทียมและพยายามจะแซงหน้าโซเวียตให้ได้
หลังจากยุคอวกาศของโซเวียตประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปี 1958-1961
สหรัฐก็ได้ฤกษ์ส่งยานอวกาศพร้อมนักบินไปลงจอดบนดวงจันทร์
ในเดือนกรกฎาคม 1969 กับภารกิจของยาน 'อะพอลโล 11'
ยานถูกส่งขึ้นไปพร้อมจับจรวดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม
และลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม
โดยมีนักบินอวกาศ 'นีล อาร์มสตรอง' เป็นคนแรกที่เหยียบพื้นดวงจันทร์
และ 'ไมเคิล คอลลินส์' เป็นคนที่สอง
ทั้งคู่ปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จและกลับถึงโลกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 1969
ภารกิจอันโด่งดังในครั้งนั้นก่อเกิดกระแสมากมายทั้งในแง่บวกและลบ
ในขณะที่มีคนชื่นชมจนถึงขนาดเอามาสร้างเป็นภาพยนต์ในภายหลัง
ก็มีคนที่เชื่อว่านี่ 'เป็นเรื่องหลอกลวง-ตบตา' ครั้งใหญ่
ที่ทาง NASA และกองทัพสหรัฐสร้างขึ้น
โดยหลายทฤษฎีเชื่อว่านักบินอวกาศทั้งสอง
ไม่เคยขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์จริงๆ
แม้จะมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงหลายครั้งแล้วก็ตาม
โดยหนึ่งในหลักฐานที่ช่วยพิสูจน์ได้ว่าภารกิจนั้นเกิดขึ้นจริง
คือร่องรอยต่างๆที่นักบินอวกาศทิ้งไว้บนพื้นที่ภารกิจบนดวงจันทร์
ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เช่น
'กระจกสะท้อนแสงที่วางไว้เพื่อให้ทดสอบยิงแสงจากโลก'
ภาพถ่าย, เสาธงชาติสหรัฐอเมริกา
รวมถึง 'รอยเท้าบนพื้นฝุ่นบนดวงจันทร์'
ที่คาดว่าจะยังคงอยู่แบบนั้นไปอีกเป็นล้านปี
เพราะที่พื้นผิวดวงจันทร์ไม่มีลมพัดผ่าน
ที่จะทำให้รอยเท้าจางหายไป