คลั่ง "ดอกทิวลิป" จนทำให้เกิดวิกฤตฟองสบู่แตกครั้งแรกของโลก
เราคงเคยได้ว่า "ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่" (The Great Depression) โดยเริ่มที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2472) และแพร่ขยายไปเกือบทั่วโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยก็คือ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" (ในปี พ.ศ. 2540) ที่สถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลาย จนทำให้นักธุรกิจต่างก็มีหนี้สินจำนวนมากในพริบตา แต่นี่คงไม่ใช่วิกฤตการเงินครั้งแรกที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แล้ววิกฤตครั้งแรกล่ะคือที่ไหน ?
The Great Depression 1929-1939
The Great Depression 1929-1939_2
1.วิกฤตดอกทิวลิป
เป็นการย้อนไปในอดีตเลยก็ว่าได้ และเป็นวิกฤตการเงินครั้งแรกที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นั่นก็คือ "วิกฤตดอกทิวลิป" (Tulip Mania) เกิดขึ้นที่เนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1637 เป็นช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ที่เป็นยุครุ่งเรืองทางการค้าของเนเธอร์แลนด์
โดยบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Dutch East India Company หรือ VOC) ขยายอิทธิพลทางการค้าไปหลายทวีป ทำให้เนเธอร์แลนด์กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของโลกในเวลานั้น
2.แล้วสินค้าอะไรที่มีอิทธิพล
หนึ่งในสินค้าที่มีผู้นำมาเผยแพร่ในเนเธอร์แลนด์ก็คือ "ดอกทิวลิป" (Tulip Flower) โดยมีต้นกำเนิดจากเปอร์เซียและออตโตมัน (อิหร่านและตุรกีในปัจจุบัน) โดยได้นำดอกทิวลิปมาปลูกเมื่อราวๆ ค.ศ. 1593 เพราะดอกทิวลิปเป็นดอกไม้ชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีในยุโรปมาก่อน อีกทั้งยังมีสีสันสวยงามหลายหลากสี ไม่ว่าจะสีแดง,เหลือง,ม่วง,ขาว มันจึงกลายเป็นสินค้าหายากจนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนมีไม่พอกับความต้องการของตลาด
3.การทำสัญญาซื้อขาย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้พ่อค้าดัตช์จำนวนมาก ก็หวังที่จะกอบโกยกำไรจึงได้คิดลูกเล่นในการซื้อขายขึ้นมา จนเกิดเป็นการทำสัญญาล่วงหน้า คือการที่พ่อค้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับลูกค้า เพื่อจัดหาดอกทิวลิปมาจำหน่าย ซึ่งดอกทิวลิปมักมีราคาสูงในช่วงออกดอก เลยไม่มีพ่อค้าคนไหน กล้าจะซื้อในช่วงเวลานั้น จึงมักให้ทำสัญญาล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มปลูกลงในกระถาง เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำที่สุดก่อนจะนำมาขาย
4.ถึงขนาดแลกบ้านพร้อมที่ดินกันเลย
การซื้อขายเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายปี การเก็งกำไรซื้อขายกันก็เป็นทอดๆมาเรื่อยๆ เลยทำให้มูลค่าของดอกทิวลิปพุ่งสูงเกินจริงไปมาก บางพันธุ์มีมูลค่าสูงถึง 3,000-4,000 กิลเดอร์ ซึ่งเงินจำนวนนี้มากพอที่จะซื้อของต่างๆ ดังต่อไปนี้ได้ทั้งหมด
ได้แก่ หมู 8 ตัว, วัว 4 ตัว, แกะ 12 ตัว, ข้าวสาลี 24 ตัน, ข้าวไรย์ 48 ตัน, ไวน์ (ขนาดความจุ 340 ลิตร) 2 ถัง, เรือ 1 ลำ, เบียร์ 4 ถัง, เนย 2 ตัน, เนยแข็ง 500 กิโลกรัม, ถ้วยเงิน 1 ใบ และ เตียง 1 หลัง หรือบางพันธุ์มีมูลค่าสูงมากถึงขนาดมีการนำที่ดินพร้อมบ้านมาแลกกับดอกทิวลิปเพียงแค่หัวเดียวเลยทีเดียว
รูปภาพทุ่งดอกทิวลิปในประเทศเนเธอร์แลนด์ในสมัยศตวรรษที่ 17
ผลงานของ Jean-Léon Gérôme จิตรกรชาวฝรั่งเศส สมัยศตวรรษที่ 19 วาดในปี 1882
5.เริ่มเข้าสู่วิกฤต
พอในปี ค.ศ. 1636 สภาพภูมิอากาศนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การเพาะปลูกดอกทิวลิปเริ่มมีปัญหาตามมา ราคาของมันก็ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว พอมาถึงปี ค.ศ. 1637 ก็เกิด "วิกฤตดอกทิวลิป" (Tulip Mania) ฟองสบู่แตก นักลงทุนจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัวกันเป็นแถว ซึ่งในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1637 เพียงแค่ข้ามคืนราคาของดอกทิวลิปก็ลดจาก 3,000 กิลเดอร์ ก็เหลือเพียงแค่ 10 กิลเดอร์เท่านั้น จึงทำให้รัฐบาลสาธารณรัฐดัตช์ต้องเข้ามาควบคุมการซื้อ-ขายดอกทิวลิป
6.วิกฤตมีผลกระทบเฉพาะคนรวย
ถึงแม้จะเข้าขั้นวิกฤตแต่ยังดีว่าไม่ได้มีผลกระทบแบบวงกว้าง มีผลเฉพาะกลุ่มคนที่มีฐานะ กับกลุ่มชนชั้นสูงกับกลุ่มพวกพ่อค้าที่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
แต่ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างแรกๆของวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ จึงทำให้เหตุการณ์ในครั้งนี้มักถูกหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา โดยเฉพาะในวงการเศรษฐศาสตร์ และนำไปเปรียบเทียบกับวิกฤตการเงินต่างๆอยู่เสมอ เพื่อสื่อถึงความโลภในการเก็งกำไรอย่างไม่ระวังจากสภาพจริงของตลาดนั่นเอง
ขอบคุณภาพต่างๆจาก : google, wikipedia