หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เนินพระวิหาร สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ของสามศาสนา

แปลโดย ประเสริฐ ยอดสง่า

 

เนินพระวิหาร (ฮีบรู: הַר הַבַּיִת; อังกฤษ: Temple Mount) หรือที่ในภาษาอาหรับเรียกว่า อัลฮะเราะมุชชะรีฟ (อาหรับ: الحرم الشريف แปลว่า "อริยปูชนียสถาน") เป็นเนินเขาในเขตเมืองเก่าของเยรูซาเลม อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อายุกว่าพันปี ของสามศาสนาคือ ศาสนายูดาห์, ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

เนินพระวิหาร ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สิ่งก่อสร้างในสมัยราชวงศ์อุมัยยะฮ์ บนเนินเขาแห่งนี้ได้แก่ มัสยิดอัลอักศอ, โดมแห่งศิลา ตลอดจนหอสูงทั้งสี่ มีประตูจำนวนสิบเอ็ดประตูเพื่อเข้าไปภายในอาณาเขตแห่งนี้ โดยสิบประตู สงวนไว้สำหรับชาวมุสลิม และอีกหนึ่งประตู สำหรับผู้มิใช่มุสลิม

คัมภีร์ไบเบิลระบุว่า วิหารของพวกยิว ตั้งอยู่บนเนินพระวิหาร และพงศาวดารของยิว ก็ได้ระบุว่าพระวิหารที่หนึ่ง ถูกสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน เมื่อ 957 ปี ก่อนคริสตกาล และถูกทำลายลง โดยบาบิโลเนีย เมื่อ 586 ปีก่อนคริสตกาล พระวิหารที่สอง ถูกสร้างขึ้นในสมัยของเศรุบบาเบล เมื่อ 516 ปี ก่อนคริสตกาล และถูกพวกโรมันทำลายลง ในปี ค.ศ. 70 ตามคติของพวกยิวแล้ว พระวิหารที่สาม ซึ่งจะเป็นหลังสุดท้าย จะถูกสร้างขึ้น จากซากของพระวิหารที่สอง บนเนินเขาแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่ได้สร้างจนถึงปัจจุบัน เนินเขาแห่งนี้ ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ของศาสนายูดาห์ แม้ว่าในศาสนาอิสลามนิกายซุนนี จะถือว่าเนินเขาแห่งนี้ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเป็นลำดับสาม โดยเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่มุฮัมมัด ถูกรับขึ้นสวรรค์ไปพบอัลลอฮ์

ปัจจุบัน เนินเขาแห่งนี้ ยังคงเป็นที่แก่งแย่งกัน ระหว่างศาสนายูดาห์กับอิสลาม ฝ่ายอิสราเอล ได้เข้าควบคุมเนินเขาแห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยที่ทั้งรัฐบาลอิสราเอล และองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ต่างอ้างสิทธิเหนือเนินเขาแห่งนี้ ข้อพิพาทดังกล่าว ยังคงเป็นประเด็นการเผชิญหน้าที่สำคัญ ในความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอล

ตลอดระยะเวลากว่า 1,300 ปี โดมแห่งศิลา (Dome of the Rock) คือเพชรยอดมงกุฎแห่งอะโครโพลิส สักการสถานของเยรูซาเลม บริเวณอันไพศาล ที่ชาวยิวและชาวคริสต์ รู้จักในชื่อเนินพระวิหาร (Temple Mount) ส่วนชาวมุสลิม รู้จักในชื่อฮารัมอัลชารีฟ (Haram al Sharif) หรือสถานศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง โดมแห่งศิลา ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดของอิสลาม มีความสำคัญทางจิตวิญญาณทัดเทียมกับโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre) ที่อยู่ติดกัน และงามสง่าไม่ต่างจากทัชมาฮาล ลายเรขาคณิตเรียบง่าย ที่ตกแต่งด้วยวัสดุชั้นเลิศ ทำให้สถานที่แห่งนี้ เปี่ยมเสน่ห์ไร้กาลเวลา

บนยอดเนินศักดิ์สิทธิ์ในเยรูซาเลม โดมแห่งศิลา คือสถานที่แห่งการสวดภาวนา และการประท้วง การบูรณะครั้งใหญ่ และการศึกษาวิจัยทางโบราณคดี กำลังเผยเบาะแสใหม่ๆ ว่าด้วยที่มาของสักการสถานแห่งนี้

ใจกลางโดมแห่งศิลา คือหินโผล่ ซึ่งเป็นหินปูนขนาดใหญ่ ที่ชาวมุสลิมเคารพสักการะ โดยเชื่อว่าเป็นจุดที่ท่านนบีมุฮัมมัด ขึ้นสู่สวรรค์ ที่นี่ เป็นแหล่งรวมงานโมเสกประดับแบบอิสลาม ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในอาคาร ราว 1,190 ตารางเมตร

ศิลาศักดิ์สิทธิ์ มีสีเหมือนหินบนดวงจันทร์ พื้นผิวที่หยาบกร้าน ขรุขระนั้น ตัดกันอย่างยิ่ง กับความประณีตงดงามโดยรอบ จรมุข (ambulatory) ที่มีเสา และเสารับน้ำหนักรวม ซึ่งเป็นหินเนื้อดอกและหินอ่อน ซ้อนชั้นสองวง ล้อมรอบมหาศิลา รองรับโดมรูปทรงวิจิตรอลังการ ผนังประดับประดาด้วยอักขระจารึกภาษาอาหรับ และแหล่งรวมของงานโมเสกยุคกลาง ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มองจากด้านล่าง โมเสกชิ้นเล็กจ้อยเหล่านี้ กอปรกันเป็นทิวต้นปาล์มเขียวชอุ่ม เถาองุ่นสุก และโภคทรัพย์ ในรูปรัดเกล้าและสร้อยคอ นานๆ ครั้ง จะมีนกพิราบ บินหลงเข้าประตูหนึ่งในสี่บาน และวนเป็นวงในเวิ้งทรงกลมกว้างใหญ่แห่งนี้

บันไดหินอ่อน ที่แคบและสึกกร่อน ทอดลงใต้มหาศิลา สู่โพรงถ้ำขรุขระ ชื่อ บ่อวิญญาณ (Well of Souls) ขนบมุสลิมเชื่อว่า น้ำจากสวรรค์ ไหลผ่านใต้ถ้ำนี้ ขณะที่ชาวยิวและชาวคริสต์บางส่วน เชื่อกันมานานว่า ที่นี่ ซุกซ่อนเส้นทางลับ ที่เต็มไปด้วยศิลปวัตถุล้ำค่า

โดมแห่งศิลา รอดพ้นเงื้อมมือโจรปล้นสมบัติ แผ่นดินไหว การต่อสู้ทางศาสนา การรุกรานอันนองเลือด และภัยคุกคามธรรมดาสามัญกว่า อย่างมูลนกพิราบ อุดรางระบายน้ำ จนทำให้น้ำฝนรั่วซึมผนัง มาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภาพตระการตาของอาคารนี้ ประดับอยู่บนถ้วยกาแฟ ผ้าเช็ดจาน และจอภาพต่างๆ ทั้งยังใส่กรอบประดับในมัสยิด ห้องรับแขก และอาคารสาธารณะต่างๆ ทั่วโลก

ทุกวันนี้ โดมแห่งศิลา ยังตั้งอยู่ใจกลางความขัดแย้ง ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยุ่งยากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย และบ่อยครั้งที่โดมทอง กลายเป็นฉากหลังแห่งการปะทะกันอย่างรุนแรง ระหว่างศรัทธาชนชาวปาเลสไตน์ กับตำรวจอิสราเอล

เบียทริซ แซงโลรอง นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวอเมริกัน ผู้ศึกษาอาคารนี้มาตลอด 30 ปี ร่วมกับ ไอซาม อาววาด เพื่อนร่วมงานชาวปาเลสไตน์ ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2018 บอกผลการศึกษาของทั้งคู่ เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจว่า ด้วยสักการสถานเก่าแก่ ที่เป็นปริศนาแห่งนี้ และผู้ปกครองชาวมุสลิมผู้มีวิสัยทัศน์ซึ่ง อาจเป็นผู้สร้างที่นี่ขึ้น

หกร้อยปี หลังจากชาวโรมัน ทำลายเยรูซาเลมและวิหารยิว อะโครโพลิส ก็กลายเป็นซากปรัก สำหรับชาวคริสต์ ยุคไบแซนไทน์ การทำลายล้างนี้พิสูจน์ว่า ศรัทธาของตน มีชัยเหนือศาสนายูดาห์ (หรือศาสนายิว) กองทัพมุสลิม บุกเข้าควบคุมนครศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ของชาวคริสต์ได้ โดยปราศจากการต่อสู้ ไม่กี่ปีหลังนบีมุฮัมมัดเสียชีวิต ที่เมืองเมดีนา ใน ค.ศ. 632 เมื่อผู้ปกครองใหม่ คิดสร้างสักการสถานของตน ในเยรูซาเลม ตัวเลือกย่อมชัดเจนอยู่แล้ว

จากสุสานชาวยิว บนเขามะกอกเทศ สันเขาที่อยู่ตรงข้าม ย่านเมืองเก่าเยรูซาเลม มองเห็นโดมทองคำอันเรืองรองในมุมกว้าง ชาวยิวที่มีความคิดสุดโต่ง บางคนมองว่า สักการสถานของอิสลามแห่งนี้หมิ่นหยามศาสนาของตน และควรทำลายทิ้ง เพื่อสร้างวิหารยิวขึ้นใหม่

เมื่อปี 1992 คนงานก่อสร้าง ที่ขยายทางหลวงจากเยรูซาเลม ไปยังเบทลิเฮม พบซากปรักอาคารแปดเหลี่ยมอีกหลังหนึ่ง รีนา อาฟเนอร์ จากสำนักงานโบราณคดีแห่งอิสราเอล เป็นผู้นำการขุดค้น ที่ตามมาในป่ามะกอก ติดกับปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง

เธอมั่นใจว่า นี่คือโบสถ์คาทิสมา หรือที่ประทับแห่งพระแม่มารีย์ ที่สาบสูญไปนาน ในโบสถ์ที่สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 456 นี้ จรมุขชั้นในและชั้นนอก ล้อมรอบหินขนาดเท่าโซฟา ที่เชื่อว่า พระนางมารีย์ ผู้ทรงครรภ์พระกุมารเยซู หยุดพักระหว่างทางไปเบทลิเฮม อาฟเนอร์เชื่อว่า โบสถ์นี้ คือต้นแบบโดมแห่งศิลา ซึ่งอยู่ห่างไปทางเหนือราวห้ากิโลเมตร เธอบอกว่า “นี่คือยุคที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ ยังคงใช้ร่วมกัน และทั้งตำนานและความเชื่อต่างๆ ก็เลื่องลือทั่วโลกอิสลาม”

ทว่าโดมแห่งศิลา ไม่ใช่แค่การลอกเลียนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ ที่อลังการกว่าเท่านั้น แทนที่จะมีเปลือกอาคารแข็งแกร่ง แบบโบสถ์ในยุคไบแซนไทน์ส่วนใหญ่ เปลือกดั้งเดิมของโดมแห่งศิลากลับบุโมเสกแก้ว ซึ่งเจิดจ้า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ในเยรูซาเลม ประตูอาคารสี่บาน ที่ตรงกับทิศหลักทั้งสี่ ก็เป็นลักษณะที่ไม่เคยพบ ในภูมิภาคนี้มาก่อน

พระราชวังทรงโดม ที่มีประตูสี่ทิศ และโบสถ์บุโมเสกภายนอกนั้นมีอยู่ ทว่าห่างออกไปทางใต้กว่า 1,500 กิโลเมตร ในอาณาจักรซาบาอันมั่งคั่ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของคาบสมุทรอาหรับ ตามข้อมูลของแซงโลรอง นักประวัติศาสตร์ศิลปะจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กับอาววาด หัวหน้าสถาปนิกและนักอนุรักษ์ประจำฮารัมอัลชารีฟ ที่ดำรงตำแหน่งมายาวนาน ทั้งคู่ยังชี้ด้วยว่า โมเสกที่ละเอียดประณีตนี้ แสดงอิทธิพลของจักรวรรดิซาเซเนียนทางตะวันออก หรืออิรักและอิหร่านในปัจจุบัน

อิทธิพลเหล่านี้ชี้ว่า ผู้ปกครองชาวมุสลิม ขนช่างฝีมือจากแดนไกล มายังเยรูซาเลม ผู้สร้างอาคาร ยังรวบรวมหินและเสา จากซากปรักของยิว โรมัน และไบแซนไทน์ ในเยรูซาเลม มารวมไว้ในโครงสร้างใหม่ ส่งผลให้เกิดการผสมผสานขนบ วัฒนธรรมอันน่าทึ่ง จากชายขอบอันไกลโพ้น ของจักรวรรดิอิสลาม ซึ่งแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่แล้วเสร็จ โดมแห่งนี้ ได้กลายเป็นสถานประกอบพิธีกรรมอันอลังการ จดหมายเหตุยุคแรกๆบันทึกว่า ผู้ร่วมพิธีสวมเสื้อคลุมราคาแพง เจิมมหาศิลาด้วยน้ำมันสีทอง ที่ทำจากหญ้าฝรั่น ชะมดเชียง และอำพันขี้ปลา

แต่เพราะเหตุใดเล่า ผู้นำชาวมุสลิม จึงทุ่มเทเวลา ความวิริยอุตสาหะ และเงินมหาศาล กับสักการสถาน ที่ประดับอย่างวิจิตรนี้ สำหรับศรัทธาชนยุคใหม่ นี่คืออนุสรณ์ แห่งการขึ้นสู่ฟากฟ้าในตำนาน ของท่านนบีมุฮัมมัด ทว่า บันทึกจำนวนน้อยนิด จากยุคที่มีการสร้างอาคาร ไม่ได้ระบุถึงความเชื่อมโยงดังกล่าว

บางคนเห็นว่า ราชวงศ์ใหม่อย่างอุมัยยะห์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 661 มุ่งยกระดับความสำคัญของเยรูซาเลม ให้เหนือกว่าเมกกะ ศูนย์กลางอำนาจของคู่แข่งทางการเมือง ตามความเชื่อนี้ โดมแห่งศิลาออกแบบมาให้เป็นคู่แข่งกับ กะอ์บะฮ์ สักการสถาน ที่สร้างครอบหินดำศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้แสวงบุญชาวมุสลิม เดินเวียนรอบ คนอื่นๆ เชื่อว่า โดมแห่งศิลา คือเครื่องยืนยันการปรากฏ และดำรงอยู่ของศาสนาอิสลาม ในเมืองที่มีคริสต์ศาสนิกชน อาศัยอยู่หนาแน่น ณ เวลานั้น โดยตั้งข้อสังเกตว่า หลังคาโดมนี้ มีขนาดเกือบเท่าโดมใหญ่ที่สุด ของโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ด้วย

สิ่งที่แน่ชัดก็คือ อาคารนี้ สร้างเพื่อสักการะหินดาน ที่อยู่ใจกลาง นอกจากการขึ้นสวรรค์ อันเป็นตำนานของท่านนบีมุฮัมมัดแล้ว ยังมีคำกล่าวอ้างว่า นี่คือจุดที่อาดัมถูกสร้างขึ้น คือจุดที่อับราฮัม เกือบบูชายัญบุตรชาย นามอิสอัค และจุดที่ผู้วายชนม์ จะถูกพิพากษา ในวันสิ้นโลก

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: แสร์
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ตำรวจเตือนหญิงขับสกุ๊ตเตอร์ไฟฟ้าขึ้นถนนใหญ่ เจอสวนกลับ ถ้าห้ามขับไปบอกร้านว่าห้ามขายสิมหาพีระมิดแห่งกีซ่า ความยิ่งใหญ่ที่สะท้อนผ่านมุมมองจากเบื้องล่างปลัดสาวเมาขับ ชนเด็กเสียชีวิตหามส่งโรงพยาบาลแล้ว ทริปน้ำไม่อาบ9 อาหารกินแล้ว 'หน้าเด็ก' ช่วยชะลอความแก่ อาหารต้านริ้วรอย หาทานง่าย ดีต่อสุขภาพฮาวทูเสิร์ฟข้าวผัดไก่ให้ถูกใจลูกค้าฝรั่ง พนักงานทำดี ทำถึง เดินเสิร์ฟเฉย ๆ มันธรรมดาไปสินะอะไรจะเกิดขึ้น หากปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงเมื่อจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงเสียชีวิตลงในฐานะคนธรรมดา รัฐบาลจีนนำไปฝังไว้ที่สุสานจักรพรรดิ ยังความไม่พอใจบางกลุ่มในประวัติศาสตร์จีน ทำไมจึงมีการคัดเลือกพระสนมใหม่เข้ามาในราชสำนักอยู่เรื่อยๆ แม้จะมีอยู่แล้ว?'ไทเลอร์ ติณณภพ' ลูกชาย 'ธานินทร์' ดาวเด่นยุค 80 สู่พระเอกยุคใหม่"งูเหลือมยักษ์หิวโซฝ่าฝน บุกเล้ากินไก่ ถูกหมาเห่าไล่อาจารย์เบียร์ คนตื่นธรรมขออาสาจ่ายค่าทำแผล พระธีระ ถูกถีบ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
คุณเชื่อหรือไม่ใน "มนุษย์ต่างดาว" ที่อาจมีอยู่ในจักรวาล?เกาหลีใต้ส่ายหน้า การท่องเที่ยวขาดดุลหนัก แม้ K-Culture จะปังไปทั่วโลกมหาพีระมิดแห่งกีซ่า ความยิ่งใหญ่ที่สะท้อนผ่านมุมมองจากเบื้องล่างอย.มะกัน พบว่ายารักษาโรคหอบหืดของ Merck ส่งผลกระทบต่อสมอง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
10 เทคนิคปรุงอาหารให้อร่อยโดดเด่น โดยไม่ง้อผงชูรสหลายคนยังไม่รู้ เปิดใช้ซอสหอยนางรมแล้ว"ต้องทำแบบนี้"โบสถ์ไม้ Krasnaya Lyaga มรดกอันทรงคุณค่าทางสถาปัตยกรรมออร์โธดอกซ์แห่งรัสเซียเคล็ดลับปอกกระเทียมง่ายๆสไตล์ไทยๆ ใครๆก็ทำได้
ตั้งกระทู้ใหม่