เที่ยวแหลมสิงห์จันทบูร
อำเภอแหลมสิงห์ เป็นอำเภอเล็กๆ ติดชายทะเลของจังหวัดจันทบุรี มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่น่าสนใจ ทั้ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สำหรับสายคาเฟ่ แต่ครั้งนี้จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งถ้ามาจันทบุรีต้องมาแวะเที่ยวที่แหลมสิงห์ให้ได้นะคะ
เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2441 อำเภอแหลมสิงห์ ใช้ชื่อว่า “อำเภอพลิ้ว” ที่มาของชื่อ “แหลมสิงห์” มาจากบริเวณปากน้ำจันทบุรี มีภูเขาลูกหนึ่งยื่นออกไปในทะเลลักษณะเป็นแหลม บริเวณปลายแหลมที่ติดทะเล มีก้อนหินขนาดใหญ่ 2 ก้อน เมื่อมองจากทะเลมีลักษณะคล้ายสิงโตนอนคู่ นอนเฝ้าปากประตูที่เข้าสู่จันทบุรี ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองจันทบุรี ได้ใช้ก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายสิงโตเป็นเป้าทดลองปืน ทำให้ตัวหนึ่งแตกสลาย ส่วนอีกตัวหัวหักตกน้ำไป จากสภาพก้อนหินที่เหลืออยู่ทำให้ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกว่า “แหลมสิงห์” และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2452 กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งเป็นอำเภอแหลมสิงห์
1. หาดแหลมสิงห์
ชายหาดแหลมสิงห์ เป็นหาดทรายสีน้ำตาล น้ำทะเลที่นี่สีออกน้ำตาลเนื่องจากเป็นปากแม่น้ำจันทบุรีที่ยังไหลไปยังอ่าวไทยจึงเป็นดินเลน ทำให้ไม่เป็นที่นิยมเล่นน้ำของนักท่องเที่ยว แต่หาดทรายสีน้ำตาลทองนี้ก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมบรรยากาศอยู่เป็นประจำ เพราะมีร้านอาหารริมชายหาดหลายร้านให้บริการพร้อมอาหารทะเลสดๆ ที่มาของชื่อ “แหลมสิงห์” ก็มาจากมีเขาลูกหนึ่งมีแหลมที่ยื่นไปในทะเลลักษณะคล้ายสิงห์โตนอนหมอบอยู่ ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าเขาแหลมสิงห์ ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่ออำเภอแหลมสิงห์ด้วย
2. อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว
ถ้ามาจันทบุรีแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่ต้องมาเที่ยวเลยคือ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วนี่ล่ะค่ะ ยิ่งเมื่อละครดังอย่างมาตาลดามีฉากหนึ่งที่ถ่ายที่น้ำตกพลิ้ว ก็มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวที่นี่กันเพิ่มขึ้น ซึ่งมีน้ำตกไหลให้ได้เล่นกันตลอดทั้งปี ไฮไลท์ที่นี่นอกจากน้ำตกพลิ้วแล้วก็จะมีปลาพลวงหินซึ่งตัวใหญ่และเยอะมาก เวลาเราลงเล่นน้ำก็จะมีปลาพวกนี้มาคอยตอด ภายในยังมีอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และจุลศิรจุมพฏเจดีย์ (อลงกรณ์เจดีย์) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2419 เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ระลึกในการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2419 ซึ่งทำให้กลายเป็นตำนานความรักที่เล่ากันว่าถ้าคู่รักใดอยากให้สมหวังในความรักและมีความรักที่มั่นคงก็ให้มาไหว้อธิษฐานขอพร ณ ที่แห่งนี้ ภายในอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วนี้เรียกได้ว่าร่มรื่นทีเดียว การเดินไปน้ำตกก็ไม่ต้องปีนป่ายจนเกินไป เจ้าหน้าที่ทำบันไดทางเดินจนไปถึงน้ำตกเลยค่ะ การเดินทางมาน้ำตกก็แสนจะง่าย ทางเข้าอยู่บนถนนสุขุมวิทย์ มุ่งสู่จังหวัดตราดเลย มีป้ายบอกทางชัดเจนขับจากถนนสุขุมวิทย์ไม่ไกลก็จะถึงน้ำตก ซึ่งนักท่องเที่ยวก็จะมีค่าเข้า สำหรับชาวไทย ถ้าเป็นเด็กคนละ 20 บาท ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท ใครที่นำรถยนต์มาก็มีที่จอดรถสะดวกสบาย แนะนำให้มาเที่ยวกันนะคะ
3. อ่าวกระทิง
ใครอยากได้บรรยากาศสงบ ส่วนตัว นั่งชิลล์ ชายหาดสวย ต้องมาที่นี่เลย หรือใครชอบแค้มปิ้ง ที่นี่ก็มีจุดให้บริการกางเต็นท์อยู่ มีที่ต่อปลั๊กไฟให้ด้วย แต่รถเข้าไม่ถึงบริเวณกางเต็นท์นะคะจะต้องแบกของขึ้นลงระหว่างเขาและหาดสักหน่อย เพราะอ่าวกระทิงอยู่บริเวณวนอุทยานเขาแหลมสิงห์ รับรองว่าหาดสวย น้ำใส ทีเดียวเลย
4. เกาะกวาง
เป็นอีกเกาะหนึ่งของอำเภอแหลมสิงห์ที่นักท่องเที่ยวนิยมไป ซึ่งสามารถขึ้นเรือจากท่าเรือหลังองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเปริด นั่งเรือประมาณ 15 นาทีก็จะถึง การไปเกาะกวางไม่มีเรือสาธารณะต้องติดต่อเหมาเรือกับโฮมสเตย์ที่พัก หรือชาวเรือแถวท่าเรือดูนะคะ ค่าบริการก็ไม่แพงค่ะ นั่งเรือชมบรรยากาศปากน้ำจันทบุรีรับรองว่าคุ้ม ช่วงที่น่าไปเที่ยวเกาะกวางคือช่วงหน้าร้อน เพราะเป็นฤดูที่น้ำลง จะทำให้มีทรายพัดเข้าถ้ำใต้โขดหินรูปหัวใจ เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกาะนี้แบบ unseen เลย
5. ตึกแดง
บริเวณตึกแดงเดิมเป็นที่ตั้งของป้อมพิฆาตปัจจามิตรซึ่งสร้างในสมัยรัชการที่ 3 เมื่อ พ.ศ. 2436 ซึ่งช่วงนั้นฝรั่งเศสยกทัพบุกเข้ายึดเมืองจันทบุรีและได้รื้อป้อมแห่งนี้ลง และสร้างตึกแดงขึ้นแทน เพื่อใช้เป็นที่พักของนายทหารและเป็นกองอำนวยการอยู่บริเวณหาดปากน้ำแหลมสิงห์
6. คุกขี้ไก่
ในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองเมืองจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) นั้น นอกจากตึกแดงที่เป็นสถานที่สำคัญแล้วบริเวณใกล้กันยังมีคุกขี้ไก่ ซึ่งแต่เดิมใช้เป็นป้อมปืนป้องกันบริเวณหาดแหลมสิงห์ เรียกว่าป้อมฝรั่งเศส แต่ต่อมาภายหลังไม่ได้ใช้งาน จึงดัดแปลงให้เป็นคุกเพื่อกักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศสและทหารญวนที่นอกรีต เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมาก เพราะชั้นบนใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ ซึ่งจะถ่ายมูลราดศรีษะนักโทษที่ถูกคุมขังตลอดเวลา จึงเรียกว่า “คุกขี้ไก่” มีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละประมาณ 4.4 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร
7. ป้อมไพรีพินาศ
เป็นป้อมปืนสร้างสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อเตรียมรับศึกญวนที่จะยกมาทางทะเล ลักษณะของป้อมไพรีพินาศตั้งอยู่เชิงเขาแหลมสิงห์ที่ยื่นออกไปทางทะเลด้านตะวันออก มีลักษณะเป็นแนวกำแพงป้อมก่ออิฐถือปูนที่ก่อขึ้นมาบนพื้นเขาธรรมชาติโค้งไปตามแนวเชิงเขา ตอนเดินขึ้นมาเที่ยวป้อมไพรีพินาศต้องระวังลิงกันสักนิดเพราะบริเวณนี้มักจะมีฝูงลิงออกมาเป็นบางช่วงเวลา
8. วัดเกาะเปริด
ใครสายมูไม่อยากให้พลาดที่จะมาไหว้พระและท้าวเวศสุวรรณที่วัดเกาะเปริด ซึ่งนักเสี่ยงโชคหลายๆ คนโชคดีจากการมาขอพรที่วัดแห่งนี้จนเป็นที่ร่ำลือ ซึ่งนอกจากมาไหว้ขอพรแล้วที่วัดยังมีจุดชมวิวทะเลสวยงามให้ได้ถ่ายรูปกันหลายมุมจนจุใจเลยทีเดียว
9. วัดมังกรบุปผารามหรือวัดเล่งฮัวยี่
วัดนี้เป็นส่วนหางมังกรจากวัดทั้ง 3 คือ วัดเล่งเน่ยยี่หรือวัดมังกรกมลาวาส ที่กรุงเทพมหานครเป็นส่วนหัวมังกร วัดเล่งฮกยี่หรือวัดจีนประชาสโมสร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นส่วนท้องมังกร ใครที่ชอบแก้ปีชงก็สามารถมาทำที่นี่ได้เลย มีเครื่องไหว้จัดเตรียมไว้เรียบร้อย
10. โอเอซีสซีเวิลด์
เป็นสถานที่การแสดงปลาโลมาที่ดังในภาคตะวันออก เราจะได้เห็นความน่ารักของปลาโลมาสีขาวที่มาแสดงให้เราได้ดูกัน และเด็กๆ ยังสามารถเพลิดเพลินกับการว่ายน้ำกับปลาโลมาได้อีกด้วย และยังมีกิจกรรมของสัตว์น่ารักอื่นๆ เช่น ชมกวางรูซ่า การป้อนอาหารปลาคราฟ ปลาหมอทะเลยักษ์
11. สะพานตากสินมหาราช
หรือสะพานแหลมสิงห์ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวไฮไลท์ของอำเภอแหลมสิงห์ที่ไม่ไปไม่ได้ เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในภาคตะวันออก มีความยาวถึง 1.06 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างตำบลปากน้ำแหลมสิงห์และตำบลบางกะไชย ของอำเภอแหลมสิงห์ เมื่อก่อนที่จะมีสะพานชาวบ้านจะใช้วิธีสัญจรด้วยการข้ามเรือซึ่งลำบากมาก ตรงกลางสะพานมีจุดชมวิวให้ได้เก็บรูปสวยๆ กัน บรรยากาศของแต่ละฝั่งของสะพานก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ด้านนึงจะเป็นแม่น้ำจันทบุรี จะได้วิวสวยๆ ของป่าชายเลน วิถีชีวิตการเลี้ยงหอยนางรมย์ อีกด้านจะเป็นฝั่งทะเลออกอ่าวไทย เห็นบรรยากาศของเรือประมง เกาะจุฬา เขาแหลมสิงห์ และวัดเขาแหลมสิงห์ซึ่งมีโบสถ์สีขาวสวยงาม
มาเที่ยวอำเภอแหลมสิงห์แล้วก่อนกลับอย่าลืมแวะซื้อของฝากกลับบ้านกันนะคะ อันดับแรกเลยที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เสื่อกกบางสระเก้า เสื่อกกที่นี่คุณภาพดีเพราะเป็นต้นกกที่ปลูกในน้ำกร่อยจึงทำให้มีความเหนียวทนทาน ใช้ได้นานหลายสิบปี เวลานอนเสื่อจะมีความนิ่ม นอกจากเสื่อแล้วมีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น กระเป๋า รองเท้า จานรองแก้ว และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากเสื่อกกแล้วยังมีผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งชันโรง แปรรูปมาเป็น สบู่ ยาสระผม และเมี่ยงคำที่น้ำจิ้มทำจากน้ำผึ้งชันโรงที่เคี่ยวจนหอม อร่อย มะพร้าวก็จะมีความมันเพราะใช้เตาถ่านในการคั่ว ชิมแล้วจะติดใจ สินค้า OTOP ที่ขึ้นชื่ออีกอย่างของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคลองน้ำเค็มทันใจ ซึ่งนำผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นมาดันแปลงเป็นขนมหลากหลายชนิด เช่น แค้กเกอร์ทุเรียน คุกกี้มังคุด ชีสหน้าทุเรียนกรอบ ซอสมังคุด มะปรี๊ดอบน้ำผึ้ง เส้นจันทร์ผัดปูอบกรอบ ผัดไทยกรอบหน้ากุ้ง เป็นต้น ซื้อไปเป็นของฝากรับรองไม่ผิดหวัง
ภาพและเนื้อหาโดย ผู้เขียน nutaai