คาเวียร์มีประโยชน์สูงเท่ากับราคาที่จ่ายมั๊ย
คาเวียร์แสนอร่อย
คาเวียร์เมนูหรู และมีราคาสูง วิธีรับประทานแบบดั้งเดิมคือใส่ช้อนเล็กๆ ตักวางบนหลังมือระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งแล้วยกขึ้นมาทานจากมือทันที แต่! ช้อนที่ใช้ตักควรเป็นช้อนที่ทำจาก“เปลือกหอยมุก”หรือ “ช้อนพลาสติก”เท่านั้น เพราะช้อนโลหะสามารถทำปฏิกริยากับคาเวียร์ ทำให้คาเวียร์นั้นเสียรสชาติได้ คาเวียร์มักเสิร์ฟในภาชนะใบเล็กที่ทำจากแก้ว เซรามิค หรือเงิน วางลงบนน้ำแข็งบด น้ำแข็งช่วยรักษาความเย็นและรสชาติดั้งเดิมของคาเวียร์ โดยทั่วไปนิยมเสริฟคาเวียร์พร้อมวอดก้าแช่เย็นเฉียบตามวิธีกินในแบบของชาวรัสเซีย แต่อาจเสริฟคู่กับแชมเปญที่แช่ไว้จนเย็นจัดหรือไวน์ขาวก็ได้ เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติในการรับประทานให้ดียิ่งขึ้น คาร์เวียร์จะแตกโพละปลดปล่อยความหอมกระจายอวลไปทั่วปากพร้อมรสชาติที่ออกเค็ม
ทำไมคาเวียร์ถึงมีราคาแพง
ตามคำจำกัดความที่กำหนดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ คาเวียร์หมายถึงอาหารที่ทำจากไข่ของปลาสเตอร์เจียนที่ปรุงด้วยเกลือ เนื่องจากปลาสเตอร์เจียนนั้นหายากจึงทำให้คาเวียร์มีราคาแพง
ปลาสเตอร์เจียนเป็นปลาโบราณที่สามารถสืบย้อนไปถึงยุคจูราสสิก เมื่อประมาณ 180 ล้านปีก่อน พวกมันถือเป็นฟอสซิลที่มีชีวิตในหมู่ปลา กระจายพันธุ์เป็นหลักทางตอนเหนือของซีกโลกเหนือ ส่วนใหญ่เป็นปลาอพยพ มีขนาดลำตัวใหญ่ อัตราการเจริญเติบโตช้า และอายุยืนยาว ซึ่งอาจเกินร้อยปีได้
คาเวียร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดทำจากไข่ปลาเบลูกาสเตอร์เจียน (Beluga sturgeon) หรือปลาสเตอร์เจียนขาว มีถิ่นอาศัยในทะเลสาบแคสเปียนและทะเลดำ ปลาพวกนี้โตช้ามากและโดยทั่วไปต้องรอจนถึงอายุ 20 ปีจึงจะวางไข่ได้ และการจะเอาไข่มาได้นั้นต้องทำโดยการฆ่าปลาเสียก่อน และคาเวียร์ที่แพงที่สุดในโลกคือคาเวียร์สีดำทอง หรือที่เรียกว่า Almas ได้จากปลาเบลูกาสเตอร์เจียนเผือก (Albino beluga sturgeon) ที่มีอายุ 60-100 ปี โดยมีราคาขายที่กิโลกรัมละ 34,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.25 ล้านบาท)
แต่เดิมคาเวียร์จะได้จากการจับปลาสเตอร์เจียนป่าเป็นหลัก จากนั้นจึงรวบรวมและแปรรูปไข่ จุดตกปลาปลาสเตอร์เจียนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นพื้นที่การผลิตหลักในรัสเซียในช่วงแรกๆ และกระจายไปตามแม่น้ำสายหลักทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา แม่น้ำอามูร์ที่ชายแดนจีน-รัสเซีย และอิหร่านทางฝั่งใต้ของ ทะเลแคสเปียน
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา คาเวียร์ได้พัฒนาเป็นอาหารชั้นสูงที่สะท้อนถึงสถานะของชนชั้น คาเวียร์ แพร่กระจายจากรัสเซียไปทางตะวันตก สู่ยุโรปพร้อมกับการขยายเครือข่ายทางรถไฟสมัยใหม่ ในฐานะสัญลักษณ์สถานะ ความต้องการคาเวียร์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าสองศตวรรษ ในขณะที่ประชากรปลาสเตอร์เจียนป่าก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จนใกล้สูญพันธุ์ ในตอนปลายของศตวรรษที่ผ่านมา
องค์การ CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) ได้เข้ามาควบคุมการทำร้ายปลาสเตอร์เจียนด้วย เพื่อไม่ให้สูญพันธ์ จึงได้ออกกฎหมายบังคับห้ามจับปลาสเตอร์เจียนในปริมาณที่เกินกำหนด อีกทั้งห้ามชาวประมงไม่ให้สร้างมลภาวะที่ร้ายแรงในทะเลสาบและห้ามฆ่าปลาสเตอร์เจียนในช่วงก่อนอายุวางไข่ (15 ปี) รวมถึงให้มีการจำกัดโควตาการผลิต คาเวียร์ โดยให้ทุกประเทศที่อยู่เรียงรายรอบทะเลสาบแคสเปียนปฏิบัติตาม ทั้งการลดลงของปลาสเตอร์เจียนป่าและกฎระเบียบที่เข้มงวด ส่งผลให้ราคาคาเวียร์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาเวียร์ที่หายากและมีราคาแพงจึงเป็นของล้ำค่าเปรียบได้กับไข่มุกดำนั่นเอง
คาเวียร์ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่มีประโยชน์
วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา
วิตามินบี ช่วยในการเสริมสร้างกระบวนการทำงานของระบบประสาท สมอง และการไหลเวียนของเลือด และช่วยกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนและไต
วิตามินดี ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง วิตามินดีมีประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับหญิงตั้งครรภ์ และระยะให้นมบุตร เพราะช่วยในการปกป้องทารกจาก โรคกระดูกอ่อนที่เกิดจากการขาดสารอาหาร
วิตามินอี ช่วยบำรุง สมอง ดวงตา ผิวพรรณ และเซลล์เม็ดเลือดแดง มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งสามารถช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ หรือโมเลกุลที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ
ไอโอดีน เป็นแร่ธาตุสำคัญสำหรับคนทุกวัย หน้าที่สำคัญของไอโอดีนคือป้องกันการเกิดโรคไทรอยด์และป้องกันการทำงานบกพร่องของต่อมต่างๆ
กรดโฟลิคช่วยพัฒนาและสร้างการเจริญเติบโตของประสาท และระบบการไหลเวียน โดยทั่วไป กรดโฟลิคจัดว่าเป็นแร่ธาตุสำคัญ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
กรดไขมันโอเมก้า3 และ 6 คุณประโยชน์ของกรดไขมันเหล่านี้คือการยืดอายุ และช่วยสลายภาวะไขมันอุดตันในหลอดเลือด
นอกจากนี้คาเวียร์ยังประกอบไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ อาทิ แคลเซียม เหล็ก แมกนิเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งส่งผลดีต่อกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย
ข้อควรระวังในการทานคาเวียร์
คาเวียร์มักใช้รับประทานเป็นอาหารว่างไม่ใช่อาหารหลัก โดยอาจใช้โรยบนขนมปัง เป็นส่วนผสมในสลัด หรือเป็นส่วนประกอบเสริมในเมนูอาหารแค่เพียง 1 ช้อนชาเท่านั้น
คาเวียร์มีไขมันสูง จึงไม่ควรรับประทานในปริมาณมากหรือรับประทานบ่อยเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
คาเวียร์มักถูกหมักด้วยเกลือ โดยคาเวียร์ 1 ช้อนโต๊ะอาจมีเกลือมากถึง 240 มิลลิกรัม ถ้ารับประทานคาเวียร์มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เนื่องจากปริมาณเกลือที่ได้รับมากเกินความต้องการของร่างกาย
ผู้ที่แพ้ปลา ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานคาเวียร์ด้วย เพราะอาจเกิดอาการแพ้เช่นเดียวกัน
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไข่ปลาคาเวียร์ดิบ ควรรับประทานไข่ปลาคาเวียร์ที่ผ่านการปรุงสุกหรือพาสเจอไรส์แล้วเท่านั้น แต่ก็ควรรับประทานด้วยความระมัดระวัง