รีวิวหนังดัง Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา
และแล้วการเดินทางของ Indiana Jones ก็มาถึงภาคที่ 5 กับผลงานการแสดงของ Harrison Ford ที่อายุไม่เคยเป็นอุปสรรค การต่อสู้เพื่อให้วัตถุโบราณอันล้ำค่าให้อยู่ในการดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังคงเป็นอุดมการณ์อันแรงกล้าที่ไม่เคยเสื่อมคลาย
ในภาคนี้ก็ได้ James Mangold รับหน้าที่กำกับการแสดง โดยเคยมีผลงานที่สร้างชื่อก่อนหน้านี้คือ Ford V Ferrari (2021), LOGAN (2017), THE WOLVERINE (2013) และ KNIGHT AND DAY (2010)
เรื่องย่อ
Indiana Jones สมัยวัยหนุ่มได้แฝงตัวในกองทัพนาซีเพื่อชิงกงล้อแห่งโชคชะตา โดยมี Basil Shaw ร่วมเดินทางด้วย นั่นทำให้หนึ่งในสมาชิกพรรคนาซีอย่าง Dr.Voller ต้องการทวงคืน
ผ่านไปเกือบ 20 ปี หญิงสาวที่ชื่อ Helena ก็ปรากฏตัวขึ้น เพื่อล่อหลอก Indiana Jones ในการตามหากงล้อแห่งโชคชะตา พร้อมกันกับ Dr.Voller ก็ไม่หยุดที่จะตามหาเช่นกัน การไล่ล่าเพื่อช่วงชิงและการผจญภัยสุดคาดคิดจึงเกิดขึ้น
นักแสดงนำ
- Harrison Ford รับบทเป็น Indiana Jones
- Phoebe Waller-Bridge รับบทเป็น Helena
- Mads Mikkelsen รับบทเป็น Voller
- Boyd Holbrook รับบทเป็น Klaber
- Toby Jones รับบทเป็น Basil Shaw
- Antonio Banderas รับบทเป็น Renaldo
- John Rhys-Davies รับบทเป็น Sallah
- Karen Allen รับบทเป็น Marion
ความชื่นชอบและความประทับใจของครีเอเตอร์
1.หนังมี Plot เรื่องน่าสนใจ ทั้งการผจญภัยที่ต้องเดินทางไปในที่ต่างๆอย่างมีที่มาที่ไป ยังคงเสน่ห์เรื่องของคาแรกเตอร์ตัวละคร บวกกับค่านิยมของคนในยุค 60 ซึ่งเป็นยุคที่คนในอเมริกาให้ความสนใจเรื่องการเดินทางไปอวกาศมากกว่าเรียนเรื่องโบราณคดี
2.จุดอ่อนคือการถ่ายทอดเรื่องราวกลับเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ชวนเบื่อเป็นระยะอย่างน่าเสียดาย ถ้าเทียบกับสี่ภาคแรกก่อนหน้าจะเห็นได้ว่าการดำเนินเรื่องน่าติดตามอยู่ตลอดและไม่มีช่วงเบื่อเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้เขียนบทและผู้กำกับหาช่องให้เรื่องมันดำเนินไปอย่างราบรื่นได้
3.ฉาก Action ต้องเป็นไปอย่างถนอมสังขารพระเอกของเรา Harrison Ford ในวัย 70 ทุกอย่างยังออกมาดูระห่ำและเข้มข้นได้อยู่ เขาสามารถแสดงอย่างน่าสนใจได้หลายฉาก ตลอดเรื่องไม่มีใครแย่งซีนไปจากเขาได้เลย
4.ขณะที่ตัวร้ายอย่าง Mads Mikkelsen ก็แสดงออกมาได้ดี มีมิติอย่างสุขุม ดูแยบยลอยู่ในที แม้จะไม่ได้บู๊อะไรมากมาย แต่ด้วยมาดของเขาก็สมกับการเป็นดาวร้ายแห่งวงการ Hollywood
5.หนังมีความพยายามดึงจุดแข็งและพยายามให้หนังสนุก มีอะไรให้น่าติดตามตลอดเวลา นั่นทำให้หนังเหมือนจะน่าสนใจ แต่ความเหนื่อยหน่ายและไม่ตื่นใจมากพอ ทำให้โดยภาพรวมไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไหร่
6.หนังใช้ Easter Egg ในการต้อนรับแฟนหนังรุ่นเก่าที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกด้วยตัวละครที่คุ้นเคย พร้อมกับสถานะที่เปลี่ยนไป เรียกได้ว่าทั้งฝั่งคนดูและนักแสดงที่ยังทันกัน อายุไม่น้อยแล้วทั้งสองฝั่ง หลังจากหนังใช้เวลาทิ้งช่วงห่างไปหลายสิบปี ใครที่ไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่อินตรงจุดนี้
เชื่อว่าหากมีภาคต่อไป หนังจะสามารถพัฒนาความสนุกได้มากกว่านี้ ทั้งในเรื่องของการต่อสู้ การแข่งขันดิ้นรนเพื่อเหตุผลบางอย่างที่มากกว่าอุดมการณ์ และก็ไม่ใช่แค่การช่วงชิงสมบัติทางโบราณคดีอีกต่อไป การผจญภัยของ Indiana Jones เป็นเรื่องราวที่ไปต่อได้ไม่รู้จบ และเชื่อว่าหลายคนก็อยากเห็น Indiana Jones ออกฉายเรื่อยๆเฉกเช่นเดียวกับแฟรนไชส์หนังเรื่องอื่นๆ