หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ตำนานวัดศรีธาตุประมัญชา ศรีธาตุพยานรัก วรรณกรรมพื้นบ้านอำเภอศรีธาตุ

โพสท์โดย ประเสริฐ ยอดสง่า

 นานมาแล้ว ยังมีนางแมวป่าตัวหนึ่ง ถือศีลและอาศัยอยู่ในป่าใหญ่ ได้เสาะหาผลไม้ในป่า นำมาถวายท้าว อยู่เป็นประจำด้วยความศรัทธาและเคารพ ท้าวเวสสุวัณ ได้เล็งเห็นคุณงามความดีของนางแมวป่า ที่ประกอบแต่กรรมดี พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อนางมาก จึงได้พระราชทานพร ให้นางหลุดพ้นจากร่างเดิมซึ่งเป็นแมว ให้กลับเป็นร่างมนุษย์ เป็นหญิงสาวที่กอปรไปด้วยความงามทั้งกาย วาจา และจิตใจ ยากที่จะหาสาวใดในโลกนี้ ที่จะมาเปรียบเทียบกับความงามของนางได้ พร้อมกับพระราชทานนามให้นางใหม่ว่า “ศรี” หมายถึงสิริมงคล ความรุ่งเรือง ความงาม ความเจริญ และอวยพรให้นาง จงปฏิบัติแต่คุณงามความดี อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ชีวิตในวันข้างหน้าจะเจริญรุ่งเรืองสืบไป

ในชุมชนบ้านเดื่อ ยังมีชายหนุ่มรูปงามนามว่า “จำปี” เป็นกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้จะอยู่ในสภาพยากจน และตกระกำลำบากเพียงใด จำปีก็ไม่เคยท้อแท้ในชีวิต มุ่งมั่นประกอบแต่คุณงามความดีตลอดมา วันหนึ่ง วิญญาณของพ่อแม่ของจำปี ได้มาเข้าฝัน เพื่อบอกลาไปเกิดใหม่ ในสรวงสวรรค์ และบอกให้ลูก ไปขุดใต้โคนมะเดื่อใหญ่ ที่อยู่ในสวนหลังบ้าน จะพบ “เรือทองคำกายสิทธิ์” ขนาดเล็กมาก ซุกซ่อนอยู่ในใต้โคนต้นมะเดื่อ เรือทองคำกายสิทธิ์ดังกล่าว เป็นของคู่บุญบารมีของผู้มีบุญเท่านั้น เรือลำนี้ สามารถขยายให้เป็นเรือลำใหญ่ หรือให้เล็กลงได้ ตามคำอธิษฐานของผู้เป็นเจ้าของ และสามารถเหาะเหินบนท้องฟ้าได้อีกด้วย เมื่อตื่นขึ้น จึงได้ไปขุดตามที่ฝัน ก็พบเรือทองคำดังกล่าวตามความฝันทุกอย่าง ทำให้จำปีดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงนำเรือทองคำดังกล่าว เก็บไว้ในย่ามอย่างมิดชิด

คงเป็นบุบเพสันนิวาส ของจำปีและศรี ที่เคยทำบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน จึงดลบันดาลให้หนุ่มสาวทั้งสองได้พบกัน วันหนึ่ง จำปีได้ออกไปหาฟืน และเก็บผลไม่ไว้เป็นอาหาร ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ จึงเข้าไปดู เห็นเสือโคร่งกำลังวิ่งไล่ศรีอยู่ จึงเข้าช่วยเหลือ และต่อสู้กับเสือโคร่งจนสิ้นใจตาย ส่วนจำปีก็บาดเจ็บจากการต่อสู้ จนแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน ศรีรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ที่จำปีได้ช่วยเหลือชีวิตนาง ให้รอดตายในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงช่วยจัดหายา มาเพื่อทำการรักษาบาดแผลให้กับจำปี ในเวลาต่อมา คนทั้งสองก็สนิทสนมกันจนกลายเป็นความรัก และตัดสินใจ ใช้ชีวิตคู่สามีภรรยากันอย่างมีความสุข

กล่าวถึงท้าวอุตตะราช ผู้ครองเมืองอุตตะ ได้เสด็จออกประพาสป่า ผ่านมาทางป่ามะเดื่อ ได้พบจำปีและศรี เกิดความพอใจและหลงไหล ในรูปโฉมของศรีภรรยาจำปีเป็นอย่างยิ่ง จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ศรีมาเป็นภรรยาของตัวเอง จนเกิดการต่อสู้ เพื่อแย่งชิงนางศรีขึ้น จำปีต่อสู้กับกำลังทหารของท้าวอุตตะราชไม่ได้ จึงบอกให้ภรรยา ขึ้นเรือทองคำกายสิทธิ์หนีไปก่อน และตัวเองก็ถูกจับไป เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้นางศรีมาช่วยสามีต่อไป นางศรี ได้ไปขอความช่วยเหลือจากท้าวเวสสุวัณ แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ท้าวเวสสุวัณจึงได้แต่ปลอบใจนางว่า มันเป็นกรรมเก่าของคนทั้งสอง ที่ยังไม่หมดสิ้น ทุกอย่างย่อมดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม ไม่มีใครสามารถหลีกเลี้ยงได้ จึงขอให้นาง เอาธรรมะเข้าช่วย และอดทน แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายไปเอง

นางศรี จึงได้ลาท้าวเวสสุวัณ ขึ้นเรือทองคำกายสิทธิ์ เพื่อกลับมาช่วยเหลือสามี โดยเสนอเงื่อนไขว่าให้ปล่อยสามีของนาง แล้วนางจะยอมทำตามความต้องการ ของท้าวอุตตะราชทุกอย่าง จำปีเห็นว่า ภรรยาจะเสียท่าท้าวอุตตะราช เพราะไม่มีประโยชน์ ที่นางศรีจะมาช่วยเหลือเขา เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บ จากการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส และจำปีรู้ตัวดีว่า คงไม่รอดแน่ จึงตัดสินใจ เอาศีรษะพุ่งเข้าชนกำแพงอย่างแรง จนสิ้นใจตาย ทำให้นางศรีเสียใจอย่างมาก จึงค่อย ๆ ร่อนเรือทองคำกายสิทธิ์ ลงมาหาศพของสามีอย่างเหม่อลอย แล้วเสนอเงื่อนไขให้ท้าวอุตตะราชว่า ก่อนที่นางจะตกลงปลงใจกับท้าวอุตตะราชนั้น ขอให้จัดการพิธีศพสามีของนาง ให้เรียบร้อยก่อน โดยขอให้สร้างธาตุขึ้น เพื่อบรรจุอัฐิของสามีนางก่อน เพื่อความสบายใจของนาง และเป็นการขอขมาต่อสามีที่ตายไป ท้าวอุตตะราชยอมทำตามที่นางขอ จึงได้ระดมช่างฝีมือดีเป็นจำนวนมาก มาก่อธาตุเป็นการใหญ่จนแล้วเสร็จ นางศรี จึงแกล้งทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท้าวอุตตะราช คือยอมแต่งงานด้วย และได้ชวนให้ท้าวอุตตะราช ขึ้นเรือทองคำกายสิทธิ์ พอได้โอกาส จึงผลักท้าวอุตตะราชให้ตกลงมา จนถึงแก่ความตาย ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าเสนาอำมาตย์ และชาวเมืองอุตตะราช นางศรี จึงนำเรือเหาะทองคำกายสิทธิ์ ลงสู่พื้นดินหน้าธาตุ ที่เก็บอัฐิของสามี อธิษฐานต่อท้าวเวสสุวัณ และเทพยดาอินทร์พรหม ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่สิงสถิตย์อยู่บนพื้นพิภพ ขอยึดมั่นในรักเดียวใจเดียว และขอตายตามสามี เพื่อให้ความรักของนางเป็นอมตะ ตราบนานเท่านาน พออธิษฐานเสร็จ นางก็กลั้นใจตายตามสามี แล้วร่างของนาง ก็กลายเป็นแมวทองคำ เคียงข้างกับเรือทองคำกายสิทธิ์ อยู่ที่พระธาตุประมัญชา ตั้งแต่นั้นมา

เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดี และมีใจซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นภรรยา ชาวบ้านจึงได้นำชื่อของจำปี มาตั้งเป็นชื่อตำบล “จำปี” ซึ่งเป็นตำบลหนึ่ง ของอำเภอศรีธาตุ และเพื่อแสดงถึงความรัก ที่เป็นอมตะของ “ศรี” จึงได้นำมารวมกับคำว่า “ธาตุ” ที่เก็บอัฐิของจำปี ผู้เป็นสามี ตั้งเป็นชื่ออำเภอว่า “ศรีธาตุ” มาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันองค์พระธาตุประมัญชา อยู่ที่วัดศรีธาตุประมัญชา (ป่าแมว) บ้านหนองแวง ตำบลจำปี อำเภอศรีธาตุ ห่างจากอำเภอศรีธาตุ ๖ กิโลเมตร เป็นศิลปะแบบล้านช้าง และกรมศิลากร ได้บูรณะในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่น

วัดศรีธาตุประมัญชา เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 2370 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2430 ได้กลายเป็นวัดร้าง ต่อมา พ.ศ. 2458 ราษฎรจากบ้านพันลำ ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน และหักร้างถางพง ได้พบเนินดินร้าง ซึ่งมีพระธาตุและมีเสมาหิน สลักเป็นรูปดอกบัว ปักเรียงรายอยู่โดยรอบ บนใบเสมา ยังมีอักษรโบราณจารึกไว้ 2 แถว ต่อมา พ.ศ. 2462 มีพระภิกษุจากบ้านท่าคันโท ได้ธุดงค์มาพบวัดร้างนี้ จึงได้อยู่จำพรรษา ภายหลัง ชาวบ้านจึงช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ และสร้างวัดขึ้นใหม่ ได้สร้างสิมหลังแรกขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2464 สร้างศาลาการเปรียญหลายหลัง รวมทั้งสะพานเชื่อมระหว่างวัดกับหมู่บ้าน เนื่องจากมีสระน้ำขนาดใหญ่ เช่น กุดยางทางทิศตะวันออก สระบัวใหญ่ทางทิศตะวันตก ต่อมา พ.ศ. 2539 สำนักงานโบราณคดี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ 7 ขอนแก่น ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะ

พระธาตุเจดีย์ ก่อด้วยอิฐสอดิน รูปทรงสี่เหลี่ยม ตั้งบนฐานกว้างยาวด้านละ 6 เมตร ฐานล่างเป็นฐานกึ่งฐานบัว ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป ถัดจากฐานบัวขึ้นไปเป็นองค์ระฆัง ลักษณะศิลปะล้านช้าง สันนิษฐานว่า รูปแบบที่สมบูรณ์ของพระธาตุ น่าจะคล้ายคลึงกับพระธาตุอิงฮัง ในประเทศลาว ซึ่งมีส่วนเรือนธาตุ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีเรือนธาตุ 3 ชั้นซ้อน ลดหลั่นกัน ส่วนยอดเป็นรูปดอกบัวตูม

สิมอีสาน รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่ออิฐถือปูน กว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 3 เมตร มีผนังกั้น 4 ด้าน หลังคาชั้นเดียว เจาะประตู 3 ช่อง ผนังด้านหลังพระประธาน ปิดทึบ มีพระพุทธรูปไม้ และพระพุทธรูปหินทราย วางไว้รอบแท่นพระประธาน

ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่า ในครั้งสมัยทวาราวดี เป็นยุคที่ชนชาติขอมเรืองอำนาจ ได้มีชาวขอมเมืองเป็งจางนครราช (ปัจจุบันเป็นจังหวัดนครราชสีมา) ได้พากันอพยพขนเอาทรัพย์สมบัติ เดินทางด้วยเกวียนและช้าง มุ่งหน้าจะไปภูกำพร้า (ซึ่งก็คือพระธาตุพนมในปัจจุบัน) เพื่อจะไปร่วมสร้างพระธาตุพนมโดยหวังจะน้ำเอาทรัพย์สมบัติที่นำมานั้น ไปบรรจุไว้ที่องค์พระธาตุพนม แต่พอเดินทางมาถึงหนองขี้หูด (ปัจจุบันเรียกว่า บึง) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ตรงข้ามกันวัดป่าแมวในปัจจุบันนี้ ได้ทราบข่าวว่า พระธาตุพนม ได้สร้างเสร็จ และได้ปิดช่องบรรจุวัตถุหมดทุกช่องแล้ว ชาวเมืองเป็งจางนครราช จึงได้หยุดพักที่ริมฝั่งหนองขี้หูด ทางทิศเหนือ และได้ตกลงกันสร้างพระธาตุขึ้น ทางฝั่งทิศเหนือของหนองขี้หูด เพื่อบรรจุสมบัติ และวัตถุโบราณต่าง ๆ ที่นำมา วัสดุที่ใช้ก่อสร้างในยุคนั้นคือ ใช้ดินเผาเป็นอิฐ วางต่อเรียงรายกันขึ้น โดยใช้ยางไม้เป็นตัวเชื่อมอิฐให้ยึดติดกัน เมื่อสร้างเสร็จแล้วปรากฏว่า องค์พระธาตุที่สร้างได้นั้น เล็กเกินที่จะบรรจุสมบัติที่นำมาได้หมด เรียกพระธาตุองค์นี้ว่า "พระธาตุน้อย” ปัจจุบันจึงเรียกว่า โนนโรงเรียน (สถานที่ตั้งของพระธาตุน้อยนี้ ต่อมา เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านจำปี)

พระธาตุน้อยนี้ ยุคต่อมา ได้หักพังลงมา ได้มีการขุดค้นในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยพระอาจารย์ตึ๊ (อ่อนตา) จากการขุดค้น ได้พบพระพุทธรูปทองคำและทองสัมฤทธิ์มากมาย พระพุทธรูปที่ขุดพบ องค์ใหญ่ที่สุด เป็นพระพุทธรูปหินแกะสลัก ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๔๓ นิ้ว ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดป่าแมว ในที่สุด ชาวเมืองเป็งจานนครราช จึงได้ตกลงกันสร้างพระธาตุองค์ใหม่ขึ้น ให้ใหญ่กว่าองค์แรก โดยยึดทางทิศใต้ของหนองขี้หูด ที่เป็นเกาะ มีน้ำรอบ (ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดปัจจุบัน) ใช้อิฐและยางไม้ เป็นวัสดุเช่นกัน

จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ที่เล่าต่อ ๆ กันมาหลายชั่วอายุว่า ในองค์พระธาตุส่วนกลาง มีปืนบรรจุไว้ ๑ กระบอก ในวันดีคืนดี จะโผล่ปากกระบอกออกมาภายนอก ให้เห็นอยู่เนือง ๆ เมื่อมีการขุดค้นในภายหลัง พบปืนสั้น โปกปูน (หรือที่ตำหมาก) และแมวทองคำ ของสามสิ่งนี้ ทำด้วยทองคำล้วน เมื่อสร้างพระธาตุเสร็จทั้งสององค์แล้ว ชาวเป็งจาน ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกลับไปบ้านเมืองเดิม อีกกลุ่มหนึ่ง สร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่ ที่ทิศเหนือของหนองขี้หูด ชื่อบ้านธาตุน้อย และชาวบ้านธาตุน้อยนี้ ได้สร้างวัดและสิมมา (หรือเสมา) ขึ้น แต่ไม่ปรากฎชื่อวัด อีกทั้งยังสร้างสะพานไม้ขึ้น เพื่อข้ามไปมา ระหว่างบ้านกับวัดด้วย (ในต้นยุคของอาจารย์ตึ๊ ยังเห็นซากไม้และเสาสะพาน ปรากฎอยู่)

ต่อมา บ้านธาตุน้อย ถูกภัยน้ำท่วมหลายครั้ง จึงพากันอพยบไปอยู่ที่อื่น ปล่อยให้วัดและหมู่บ้านร้าง จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ชาวบ้านพันลำ (ปัจจุบัน เป็นที่ตั้งบ้านพระประจักษ์) ได้มาหักล้างถางพงเพื่อทำกิน จึงได้พบองค์พระธาตุลักษณะทรงสี่เหลี่ยม ยอดชลูดขึ้น สูงประมาณ ๑๐ เมตร ฐานกว้าง ๖ เมตร ส่วนล่างปิดทึบทั้งสี่ด้าน ทางทิศตะวันออก มีลักษณะเป็นซุ้มประตู มีบันไดขึ้น ๒ ขั้น แต่ไม่มีทางเขาออก รอบ ๆ ฐานของพระธาตุ มีซากอิฐดินเผาหักพังรอบ ๆ ฐาน ๒ ขั้น สันนิษฐานว่า เป็นกำแพงแก้ว ทางทิศตะวันออกของพระธาตุ มีลานอิฐ และซากปรักหักพังของอิฐก่อ บางด้านสูงประมาณ ๑ เมตร บางด้านประมาณ ๑ ศอก มีเสาหินเสมาล้อมรอบ และในเสมาทางทิศตะวันออก มีเสาหินเป็นหลักศิลาจารึก สูงประมาณ ๒ เมตร เสาหินนี้ ถูกสลักเป็นบัวตูมทั้งด้านบนและล้าง ตรงกลางสลัดเป็นอักษรโบราณ ๒ แถว แถวแรกเต็มด้าน แถวที่ ๒ ครึ่งด้าน (ปัจจุบันอยู่พิพิธภัณฑ์ขอนแก่น) ยุคอาจารย์ตึ๊ มีผู้ที่สามารถอ่านภาษาขอมโบราณ ภาษาไทยน้อย และภาษาสิงหลได้ แต่ไม่มีใครสามารถอ่านข้อความ หรือแปลอักษร บนเสานี้ได้เลย

ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่:
https://youtu.be/YhUQaLW4k-w?si=ANQ71qGx2dW24gj5
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
นางเอกดังสุดเศร้า กับการสูญเสียครั้งใหญ่ โพสต์อาลัยรักสุดหัวใจ1 ใน 8 ของนักเรียนร.ร.รัฐในนิวยอร์ก'ไร้บ้าน'!เลขเด็ด เลขมาเเรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.4" งวดวันที่ 1 ธันวาคม 25675 เทคนิคเพิ่ม Productivity ที่ช่วยให้คุณทำงานสำเร็จเร็วขึ้น"ช็อกแป๊บ! เจอ 'หลวงพี่เท่งตัวจริง' เดินบิณฑบาต คนถามหนังหรือชีวิตจริง"ตำรวจ ตามรวบจนครบ 3 โจ๋เหิมเกริม ใช้มีดฟันคู่อริ กลางสถานี BTS
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ลิลลี่ เหงียน" สวนกลับ "ปู มัณฑนา"..อย่าลืมเอาเงินมาคืนกะxsี่ผู้มีพระคุณด้วยเงินดิจิทัลเฟส 3 คนทั่วไป เงินเข้าเมื่อไหร่ ได้เงินสดไหม วิธีเช็กสถานะทางรัฐอีกมุมของ "ยายสา" ตำนานแม่มดแห่งสมิหลา กับความลึกลับที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย"หวังเซียนเฉา นักการทูตผู้ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ถัง‘ขนม ศศิกานต์’ เลิก ‘ครูเต้ย อภิวัฒน์’ ทั้งที่เพิ่งคลอดลูก คนที่ 2 จากกันด้วยดี ไม่มีมือที่ 3
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
ล่าแม่มดทริบูร์: ความกลัวที่ทำให้ชีวิตกลายเป็นเพียงเงาในประวัติศาสตร์"นิยายวาย : เดิมพันรักนักพนันแจ็คเดอะริปเปอร์: ฆาตกรที่โหดที่สุดในประวัติศาสตร์อีกมุมของ "ยายสา" ตำนานแม่มดแห่งสมิหลา กับความลึกลับที่ไม่มีใครกล้าท้าทาย"
ตั้งกระทู้ใหม่