รีวิวหนังดัง SHAZAM ! FURY OF THE GODS ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า
ชาแซม กลับมาอีกครั้งเป็นภาคที่ 2 บิลลี่ แบทสัน เด็กชายกำพร้าที่อยู่กับผองเพื่อนที่ผ่านความเป็นความตาย จนเขายอมรับได้ว่าแม้จะไม่ใช่สายเลือด แต่พวกเขาก็เป็นมากกว่าเพื่อน พวกเขาคือครอบครัว นี่คือบทสรุปจากภาคแรกที่นอกจากจะได้พลังจากพ่อมดนิรนามแล้ว เขาและผองเพื่อนยังช่วยปกป้องโลกจากภัยร้ายได้อีกด้วย โดยผลงานกำกับการแสดงโดย David F. Sandberg
เรื่องย่อ
บิลลี่ แบทสันและผองเพื่อนกลับมาผงาดพร้อมพลังวิเศษที่พวกเขาเคยได้รับ..มาช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน แต่ครั้งนี้เขาต้องเผชิญกับเทพีสามพี่น้อง เฮสเพอร่า คาลิปโซ และแอนเธีย พวกเธอจะมาทวงพลังของเหล่าชาแซมกลับคืน เพราะเดิมทีพลังเหล่านี้เป็นของพวกนางอยู่ก่อนแล้ว แต่ถูกพ่อมดลักขโมยไป
ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ พวกนางไม่ได้แค่ต้องการทวงพลังคืน แต่ต้องการทำลายความเป็นอยู่ของโลก และเริ่มต้นสรรค์สร้างอาณาจักรในแบบของนางเอง นั่นทำให้บิลลี่และผองเพื่อนต้องต่อกรพวกนางทั้งสามอย่างถึงที่สุด
นักแสดงนำ
- Zachary Levi รับบทเป็น Shazam
- Asher Angel รับบทเป็น Billy Batson
- Helen Mirren รับบทเป็น Hespera
- Lucy Liu รับบทเป็น Kalypso
- Rachel Zegler รับบทเป็น Anthea
- Djimon Hounsou รับบทเป็น Wizard
ความยาว 130 นาที
ความประทับใจและชื่นชอบจากใจครีเอเตอร์
1.การเดินเรื่องบอกเลยว่าสนุกมาก ดูไม่เบื่อเหมือนอย่างหนังเรื่องอื่นแน่นอน และก็มีความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของชาแซม คือจะไม่เหมือนฮีโร่ในชุดผ้าคลุมคนอื่นๆ มีจุดแข็งจุดอ่อนที่ทำให้เรารู้สึกฮาอยู่ลึกๆเหมือนกัน ตรงนี้แหละที่ทำให้ครีเอเตอร์รู้สึกชอบมาก
2.แม้ตัวพระเอกอย่างบิลลี่ จะไมค่อยมีประเด็นให้เล่นมากเท่าไรนัก แต่หนังก็เพิ่มจุดโฟกัสอย่างเพื่อนสนิทของบิลลี่อย่างเฟรดดี้ จอมเจ้าเล่ห์ ที่เขาได้พบรักแรกที่เริ่มต้นได้อย่างทุลักทุเล แต่เขาก็ได้พิสูจน์ว่าเขาจริงใจต่อความรักครั้งนี้มากแค่ไหน
3.มีตัวละครมาเซอร์ไพรส์ให้คนดูได้เห็น เชื่อว่าแฟน DC ต้องอึ้งไม่มากก็น้อย และเชื่อว่าอาจจะมีผลต่อจักรวาล DC ในหนังเรื่องอื่นที่กำลังจะตามมาอีกด้วย
4.หนังกระจายน้ำหนักบทของแต่ละคนได้อย่างลงตัว ไม่มีใครที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตา เรียกว่ากระจายบทได้อย่างเหมาะสม ไม่มีใครที่โผล่ออกมาแล้วหายไปเลยทั้งเรื่อง แถมความยาวก็ไม่ได้ยืดยเยื้อจนเกินไปที่ 2 ชั่วโมง 10 นาทีถือว่ากำลังดีเลยครับ
5.หนังสะท้อนภาวะผู้นำของพระเอกได้อย่างเด่นชัด แม้คนอื่นๆกำลังจะมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง อีกทั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัยจากเด็กสู่วัยรุ่น มันเป็นสิ่งต้องคำนึงที่จะบาลานซ์ระหว่างการเรียนต่อมหาวิทยาลัยกับการเป็นฮีโร่ปกป้องโลก ประเด็นนี่หนังก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี
6.หนังมีการเล่นมุกแบบทีเล่นทีจริง จังหวะตลกก็เข้าใจมุกได้ไม่ยาก และก็ไม่ใช่มุกแบบที่อเมริกันเท่านั้นที่เข้าใจ ไม่ว่าคนชาติไหนก็เข้าใจได้ เรียกว่าไม่เลอะเทอะจนเกินไป เป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้อีกแบบหนึ่ง
7.ความสนุกของหนังเรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะคุมงบประมาณของทุนการสร้างไม่ให้บานปลายได้ สิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้มอบให้คือความอบอุ่นเล็กๆซ่อนอยู่ หากอนาคตตัวละครเหล่าชาแซมหายไปเฉยๆโดยไม่มีการสานต่อคงน่าเสียดายแย่
ทั้งหมดนี้คือความสนุกที่หนังเรื่องนี้มีให้ แม้กระแสตอบรับในเรื่องรายได้อาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าได้รับชมแล้วจะเข้าใจเลยว่าบางครั้งเราก็เชื่อนักวิจารณ์ไม่ได้ไปเสียทุกเรื่อง หากเราได้ไปดูเองเราถึงจะรู้ว่ามันอาจจะไม่สนุกสำหรับเขา แต่มันสนุกสำหรับเรา