พระสมุทโคดม ตำนานเกาะแก้วพิศดาร
พระพุทธเจ้า ตรัสเทศนาเป็นนิทาน เพื่อสั่งสอนชาวโลกว่า พระองค์และพระศรีอาริยเมตไตรย์ เป็นโอรสท้าวอาทิตย์ กับนางจันเทวี แห่งกรุงพาราณสี ชื่อพระสมุทโคดมและพระโพธิทัต สองกุมารไปศึกษาธรรม ที่เมืองลังกาสิงหล เมื่อเดินทางถึงเกาะแก้วพิสดาร เกิดพายุเรืออับปางลง ผู้คน ถูกสายน้ำพัดพาไป บ้างก็ถูกปลาคาบไปกิน พระสมุทโคดมคร่ำครวญว่า คงเป็นเพราะกรรมในอดีตชาติ ที่เคยล่มเรือพระและชี แล้วจึงอธิษฐานว่า ถ้าจะได้เป็นศาสดา ก็ขอให้คุณพระรัตนตรัย พระบิดามารดา และทวยเทพช่วย จากนั้นทั้งสองกระโดดลงน้ำ เกาะกระดานเรือ แต่ถูกคลื่นซัดกระดานแตก จนต้องแยกจากกัน และต่างก็คิดว่า อีกฝ่ายหนึ่งสิ้นชีวิต
พระอินทร์เห็นพระโพธิทัตว่ายน้ำอยู่ จึงลงมาช่วย อุ้มขึ้นวางไว้เหนือรถทรง และจะช่วยพระสมุทโคดม ตามคำขอของพระโพธิทัต แต่มีเณรน้อย ผุดขึ้นมากล่าวว่า ในอดีตชาติ พระกุมารทั้งสองเป็นบุตรเศรษฐี ลงเล่นน้ำกับบริวาร เห็นเณรน้อยพายเรือบิณฑบาต ก็ช่วยกันล่มเรือ พระโพธิทัตช่วยเณรขึ้นฝั่งได้ ส่วนพระสมุทโคดมนั้น เณรยังคงผูกพยาบาทจองเวรอยู่ พระสมุทโคดม จึงต้องใช้หนี้เวรต่อไป พระอินทร์สงสารพระสมุทโคดม จึงบันดาลขอนไม้ให้เกาะ แล้วพระอินทร์ ก็พาพระโพธิทัต เหาะไปส่งที่เกาะลังกา ตามคำขอร้อง แล้วให้พระโพธิทัต ไปนมัสการรอยพระพุทธบาท
ฝ่ายนางมณีเมขลา ผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระสมุทโคดมลอยคออยู่ จึงช่วยให้กระแสน้ำ พัดพาไปถึงเมืองสามลนครของท้าวสามล ซึ่งมีธิดา 7 องค์ นางทั้งเจ็ด เห็นพระสมุทโคดมเกาะขอนไม้มา ก็เกิดความเสน่หา ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าพระสมุทโคดม เป็นเนื้อคู่ของผู้ใด ก็ให้ขอนไม้ลอยมาหา ขอนไม้ ก็ลอยมาหยุดตรงหน้านางชลครรภา น้องสุดท้อง นางจึงพาพระสมุทโคดมขึ้นฝั่ง ท้าวสามล จัดพิธีอภิเษกให้พระสมุทโคดมกับนางชลครรภา
กล่าวถึงนายพาณิชจากกรุงจีน นำเครื่องบรรณาการ ไปถวายท้าวสามล ได้เห็นธิดาทั้งเจ็ดในที่เฝ้า จึงวาดรูปนางชลครรภา ไปถวายท้าวผะกาเจ้ากรุงจีน แห่งเมืองทวิไสย ท้าวผะกา ได้เห็นรูปนางก็หลงใหล ให้นายพาณิชไปถวายสาร สู่ขอนางชลครรภา ถ้าไม่ยกให้ ก็จะต้องทำสงครามกัน ฝ่ายท้าวสามล ไม่อยากให้เกิดศึก และอยากได้ทรัพย์สิน ที่ท้าวผะกาสัญญาว่าจะให้ จึงคิดจะยกธิดาให้ แต่ท้าวสามลไม่รู้ว่า นายพาณิช ได้วาดรูปนางชลครรภา ไปถวายท้าวผะกา และเมื่อเห็นว่า นางชลครรภามีสามีแล้ว จึงจะให้ท้าวผะกา เลือกธิดา 1 ใน 6 แทน เมื่อท้าวผะกาเดินทางมาเมืองสามล เห็นนางทั้งหก ไม่เหมือนรูปที่นายพาณิชวาดไปก็โกรธ ท้าวสามลแก้ตัวว่า ที่ให้เลือกนางทั้งหก เพราะนางชลครรภาป่วยอยู่ ท้าวผะกาจึงจะรอจนกว่านางจะหายป่วย
ท้าวสามล ขอให้นางชลครรภา อภิเษกกับท้าวผะกา เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง เมื่อนางปฏิเสธ ท้าวสามล จึงให้เสนา นำพระสมุทโคดม ไปปล่อยที่เกาะแก้วพิสดาร แล้วท้าวสามล ก็จัดพิธีอภิเษก ให้ท้าวผะกากับนางชลครรภา ระหว่างที่เดินทางไปเมืองจีนกับท้าวผะกา นางชลครรภาอธิษฐาน ให้ความซื่อสัตย์ที่นางมีต่อสวามี เป็นเกราะคุ้มภัย และให้ได้ครองคู่กับพระสมุทโคดมทุกแห่งหน แล้วนางก็กลั้นใจตาย ไปเกิดเป็นนางกินนรี ธิดาสุดท้องในจำนวนธิดา 7 องค์ ของท้าวอาทิตย์กับนางจันทกินนรี โดยเหตุที่เกิดอยู่ในดอกไม้นางจึงได้ชื่อว่าสุวรรณมาลา
นางกินนรีทั้งเจ็ด ไปสรงน้ำ เที่ยวเล่นไปจนถึงเกาะแก้วพิสดาร เข้าไปในไร่ของพระสมุทโคดม ซึ่งมีข้าวออกรวงเป็นข้าวสารหอม นางสุวรรณมาลาแอบเด็ดข้าว 3 เมล็ด ห่อซ่อนไว้ที่ชายสไบ นำไปให้มารดา เมื่อรู้จากมารดาว่า การลักขโมยเป็นบาป นางสุวรรณมาลา จึงเหาะไปเกาะแก้วพิสดาร เพื่อจะนำเมล็ดข้าวไปคืน เมื่อได้เห็นพระสมุทโคดมนางก็หลงรัก ระหว่างที่พระสมุทโคดมไม่อยู่ นางเข้ามาเนรมิตอาหารการกินไว้ให้ แล้วกลับไปแอบอยู่ในถ้ำ เป็นเช่นนี้ทุกวัน พระสมุทโคดมสงสัย จึงไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เมื่อเห็นนางสุวรรณมาลา ซึ่งมีหน้าตาคล้ายนางชลครรภา ก็ออกมาหานาง นางเล่าเรื่องของตน และขอเป็นทาสรับใช้
ขณะที่นางสุวรรณมาลา บรรทมอยู่กับพระสมุทโคดม นางระลึกชาติได้ จึงอธิษฐาน ขอให้เกาะแก้วพิสดาร กลายเป็นนครรัตนคีรี ให้เกิดมีแผ่นดินข้ามมหาสมุทร ไปถึงเมืองท้าวสามลได้ นางทูลว่า ขอยกนครรัตนคีรีถวาย เพื่อตอบแทนคุณข้าว 3 เมล็ด และนางคือนางชลครรภามาเกิดใหม่ พระสมุทโคดมกับนางสุวรรณมาลา จึงเสวยราชย์อย่างมีความสุข ในนครรัตนคีรี
ต่อมา นางสุวรรณมาลา คิดถึงพระบิดามารดาและพี่ๆ แต่เกรงว่า พระสมุทโคดมจะไม่ให้ไป จึงเสกหมอนเป็นหญิงรูปเหมือนนาง ให้ชื่อว่าประทุมเกษี สั่งให้นางเฝ้าปรนนิบัติพระสมุทโคดมแทน เป็นเวลา 7 วัน วันหนึ่งพระสมุทโคดมสังเกตว่า หน้าของนางประทุมเกษีไม่มีรัศมี เหมือนนางสุวรรณมาลา ก็ซักถาม จนรู้ความจริง ส่วนนางสุวรรณมาลา เมื่อครบกำหนด ก็กลับไปยังนครรัตนคีรี
ฝ่ายท้าวสามลได้ข่าวว่า นครรัตนคีรีมีเจ้าเมืองชื่อพระสมุทโคดม ก็รู้สึกร้อนใจ เกรงว่าพระสมุทโคดมอาจเหิมเกริม จึงสั่งให้มาเฝ้า แต่พระสมุทโคดมบอกว่า ต้องส่งนางชลครรภามาให้ก่อน ท้าวสามลกริ้วขอให้ท้าวผะกามาช่วยทำศึก พระสมุทโคดมยกทัพไปรบกับท้าวผะกา นางสุวรรณมาลา ซึ่งยังโกรธแค้นท้าวสามลอยู่ ก็อาสายกทัพไปรบกับท้าวสามลด้วย พระสมุทโคดมอธิษฐานว่า ถ้าจะได้เป็นศาสดา ขออย่าให้มีภัย และขอให้ศัตรูพ่ายแพ้ไปเอง ร้อนถึงนางมณีเมขลา บันดาลให้เกิดลมพายุ พัดหมู่เรือของท้าวผะกาแตก ท้าวผะกาจมน้ำ ลงไปนรกอเวจี ฝ่ายนางสุวรรณมาลา ขี่ช้างออกมา แล้วเนรมิตเทวดาเป็นบริวาร ตั้งสัตย์อธิษฐาน ว่าด้วยความซื่อสัตย์ต่อสวามี ขอให้นางชนช้างชนะท้าวสามล ในที่สุด นางก็บั่นเศียรท้าวสามลขาด
ฝ่ายพระโพธิทัต ซึ่งอยู่ในเมืองลังกาสิงหล เห็นสมณะชีพราหมณ์ เดินทางไปไหว้รอยพระพุทธบาท พลางพูดกันเป็นภาษาบาลีสิงหล พระโพธิทัตฟังไม่เข้าใจ จึงขอเรียนภาษาบาลีสิงหล แล้วเดินทางไปไหว้รอยพระพุทธบาท และจำศีลภาวนา อยู่ในมณฑปแก้ว พระอินทร์จำแลงกายลงมาเป็นยักษ์ ถามปริศนาธรรมเป็นภาษาบาลีสิงหล หากแก้ปริศนาธรรมไม่ได้ จะต้องถึงแก่ชีวิต พระโพธิทัต รู้ภาษาบาลีสิงหล จึงแก้ปัญหาธรรมได้ พระอินทร์ทำนายว่า พระโพธิทัต เป็นผู้มีปัญญามาก จะได้เป็นจักรพรรดิในภายหน้า แล้วพระอินทร์ ก็พาไปส่งถึงเมือง พระมารดาถามถึงพระสมุทโคดม พระโพธิทัตเล่าความเป็นมา แล้วขอให้พระบิดามารดา อนุโมทนาบุญ ไปถึงพระสมุทโคดมให้ปลอดภัย ท้าวอาทิตย์และมเหสี จัดพิธีรับขวัญพระโพธิทัต พระโพธิทัต ขอให้พระบิดามารดา ถือศีลบำเพ็ญทาน
ฝ่ายพระสมุทโคดม เดินทางกลับไปหาพระบิดามารดา พร้อมนางสุวรรณมาลา เมื่อยกพลไปถึงเมือง ก็ตั้งทัพอยู่ตรงเขตแดน เมื่อท้าวอาทิตย์รู้ว่า ผู้ที่ยกทัพมาเป็นพระสมุทโคดม ก็ให้พระโพธิทัตออกไปรับ เมื่อทุกองค์ได้พบกัน พระสมุทโคดมเล่าเรื่องแต่ต้น จนได้นางสุวรรณมาลา ฝ่ายนางสุวรรณมาลา ก็เล่าเรื่องของนาง ท้าวอาทิตย์ จัดพิธีสมโภชรับขวัญโอรส
เมื่อท้าวอาทิตย์ทรงชราก็ออกบวช แต่งตั้งให้พระสมุทโคดมเป็นกษัตริย์ พระโพธิทัตเป็นอุปราช ต่อมาพระสมุทโคดมออกบวช ส่วนนางสุวรรณมาลากลับไปเขาไกรลาศ พระโพธิทัตจึงได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อชันษาได้ 90 ปี ก็ออกบวชบำเพ็ญพรตในป่า โดยตั้งมนตรีผู้หนึ่ง ให้ขึ้นปกครองบ้านเมือง
กล่าวถึงปัจจุบันวัตถุ ท้าวผะกา ได้มาเป็นพระเทวทัต นางชลครรภา เป็นพระนางพิมพายโสธรา พระสมุทโคดม เป็นพระพุทธองค์ ส่วนพระโพธิทัต คือพระศรีอาริยเมตไตรย์ ในอนาคตกาล
อ้างอิงจาก:
https://youtu.be/T5bopZc0i_0?si=YjDxd9WQHxAqvZlC
ยุพร แสงทักษิณ
นิทานชาดก