หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เตโอตีวากาน (Teotihuacan) กับตำนาน วันสิ้นโลก เมืองโบราณที่ไม่รู้ใครสร้าง

โพสท์โดย น้องมิ่ง รัตนาภรณ์

        เตโอตีวากาน (Teotihuacán) แปลว่า กรุงเทพ หรือ “City of the Gods” นั่นเอง เป็นเมืองโบราณยุคเมโส-อเมริกัน ที่ชาวแอซเท็กมาค้นพบเข้า และตั้งชื่อเมืองให้ ตอนที่มาพบนั้นที่นี่ก็เป็นเมืองร้างอยู่แล้ว จึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครสร้างไว้กันแน่ นักโบราณคดีคาดกันว่าที่นี่น่าจะมีอายุประมาณ 2,000 กว่าปี มีการเริ่มต้นตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ 100 ปีก่อนคริสตกาล และน่าจะเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจ ของอาณาจักรบริเวณนี้ และมีผู้คนอาศัยอยู่เกินแสนคนเลยทีเดียว

            จากซากโบราณสถานนั้นมีการพบเครื่องมือ จิตรกรรมฝาผนัง ระบบคมนาคม และการทำเกษตรกรรม ที่มีการใช้อุปกรณ์ก้าวหน้ามากในยุคนั้น แต่ที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของเมืองนี้ก็คือ พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์ Pyramid of the Sun และพีระมิดแห่งดวงจันทร์ Pyramid of the Moon

            โดยเฉพาะพีระมิดแห่งดวงอาทิตย์นั้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก (แต่ยังมีความสูงเพียงครึ่งเดียวของมหาพีระมิดเมืองกิซา) ที่สำคัญ มันยังถูกสร้างโดยวางเลย์เอาท์เดียวกัน กับพีระมิดที่อียิปต์ด้วย คือเป็นแนวเรียงกัน ตามกลุ่มดาวโอไรออนนั่นเอง จะบังเอิญเกินไปหน่อยรึเปล่า?

            เตโอตีวากาน (สถานที่ที่ซึ่งเทพเจ้าประสูติ หรือสถานที่ที่ซึ่งมนุษย์กลายเป็นเทพเจ้า) หรือ เตโอติวากัน เป็นเมืองมีโซอเมริกาโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาย่อยแห่งหนึ่ง ของหุบเขาเม็กซิโก ในเขตเทศบาลซานฆวนเตโอติอัวกัน รัฐเมฮิโก ประเทศเม็กซิโก ห่างจากเม็กซิโกซิตี้ ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร (25 ไมล์) เป็นที่รู้จักกัน ในฐานะที่ตั้งของพีระมิด ที่มีความสำคัญยิ่งทางสถาปัตยกรรม ซึ่งสร้างขึ้นในทวีปอเมริกา สมัยก่อนโคลัมบัส เมื่อถึงจุดสูงสุด ซึ่งอาจอยู่ในครึ่งแรกของคริสต์สหัสวรรษที่ 1 (ค.ศ. 1–500) เตโอตีวากาน กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา สมัยก่อนโคลัมบัส โดยมีประชากรประมาณ 125,000 คนหรือมากกว่านั้น ซึ่งทำให้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด อย่างน้อยเป็นอันดับที่หกของโลกในสมัยนั้น แหล่งโบราณคดีในปัจจุบัน ได้รับการกำหนดให้เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งหนึ่งของยูเนสโก ใน ค.ศ. 1987 และเป็นแหล่งโบราณคดี ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในเม็กซิโก โดยมีผู้เยี่ยมชม 4,185,017 คนใน ค.ศ. 2017

            ตัวเมืองเตโอตีวากานมีพื้นที่ 8 ตารางไมล์ ร้อยละ 80–90 ของประชากรทั้งหมดในหุบเขา อาศัยอยู่ในเมืองนี้ นอกจากพีระมิดแล้ว เตโอตีวากาน ยังมีความสำคัญทางมานุษยวิทยา จากกลุ่มอาคารที่อยู่อาศัยหลายชั้น สำหรับหลายครัวเรือน "ถนนของคนตาย" และจิตรกรรมฝาผนังที่มีชีวิตชีวา และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี นอกจากนี้ เตโอตีวากาน ยังส่งออกเครื่องมือหินออบซิเดียนคุณภาพดี ซึ่งพบได้ทั่วมีโซอเมริกา คาดกันว่าเมืองนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อราว 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยเริ่มต้นจากการเป็นศูนย์กลางทางศาสนา ในที่สูงเม็กซิโก ในช่วงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 1 จากนั้น จึงกลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุด ในทวีปอเมริกา สมัยก่อนโคลัมบัส มีงานก่อสร้างสำคัญ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง จนถึงราว ค.ศ. 250 เมืองนี้ อาจดำรงอยู่จนกระทั่งช่วงใดช่วงหนึ่ง ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึง 8 แต่สิ่งก่อสร้างสำคัญ ๆ ของเมือง ถูกปล้นและเผาไปตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 550 การล่มสลายของเมือง ยังอาจเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศรุนแรง ระหว่าง ค.ศ. 535–536 ด้วย

            แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เตโอตีวากาน เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิแห่งใดแห่งหนึ่งหรือไม่ แต่อิทธิพลของเตโอตีวากาน ทั่วทั้งมีโซอเมริกานั้น ก็ได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดี เราสามารถพบเห็นหลักฐาน ที่แสดงถึงการดำรงอยู่ของเตโอตีวากานได้ ในแหล่งโบราณคดีหลายแหล่ง ในรัฐเบรากรุซ และภูมิภาคมายา ชาวแอซเทกในสมัยหลัง เห็นซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ และอ้างว่า มีบรรพบุรุษร่วมกับชาวเตโอตีวากาน โดยดัดแปลง และนำวัฒนธรรมของพวกเขาไปประยุกต์ใช้ ชาติพันธุ์ของชาวเตโอตีวากาน ยังคงเป็นประเด็นอภิปราย กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นไปได้ได้แก่นาวา, โอโตมี หรือโตโตนัก นักวิชาการบางคนเสนอว่า เตโอตีวากาน เป็นรัฐที่มีชนหลายชาติพันธุ์ เพราะพวกเขา พบแง่มุมทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวมายา เช่นเดียวกับชาวโอโตมี–ปาเม หลังการล่มสลายของเตโอตีวากาน ตอนกลางของเม็กซิโก ก็ถูกมหาอำนาจอื่น ๆ ในระดับภูมิภาคเข้าครอบงำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โชชีกัลป์โกและตูลา    

            ตามความเชื่อของชนเผ่าโบราณ ทุก 50 ปี จะสร้างพีระมิดหลังใหม่ ครอบคลุมพีระมิดหลังเดิม ซึ่งถูกฝังอยู่ภายใน เพราะเชื่อว่า จะเข้าใกล้ท้องฟ้าและสวรรค์มากขึ้น รูปที่เห็นนี้ คือส่วนของพีระมิดชั้นใน ที่ถูกคลุมด้วยพีระมิดชั้นนอก เมื่อพีระมิดชั้นนอกผุพังลง จึงได้ปรากฏให้เห็นถึงลวดลายวิจิตรพิสดาร ภายในที่ถูกปกคลุมซ่อนตัว เป็นเวลากว่าพันปี จะเห็นลวดลายหัวสัตว์ ที่ประดับที่ฐานของพีระมิดชั้นในอย่างสวยงาม ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเทโอทิวาคานยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่นอนในปัจจุบัน มีปริศนามากมาย เช่น ใครคือชนเผ่าที่สร้างเมืองนี้ขึ้น พีระมิดและอาคารทั้งหลายสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด และทำไมอยู่ ๆ เมืองนี้ถึงได้กลายเป็นเมืองร้างเป็นเวลากว่าหลายร้อยปี จนมีเผ่าพันธุ์ใหม่เข้ามาอาศัยในภายหลัง

            เกี่ยวกับตำนาน วันสิ้นโลก ต่างก็อ้างอิงมาจาก ปฏิทินของ ชาวมายา ทั้งสิ้น ชาวมายาคือใคร และอยู่ตรงไหน ? อาณาจักร มายา ตั้งอยู่ในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับ เบลีซ และ กัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มากเพราะมีพื้นที่กินถึง ประเทศคือเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส

            ตามประวัติ อาณาจักรแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ 2,000 ปี ตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 อาณาจักรแห่งนี้ มีซากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตน่าทึ่งที่สุด ไว้เป็นมรดกโลก และฝากปริศนาให้คนรุ่นหลังขบคิดกันว่า เกิดจากสาเหตุใด อาณาจักรมายา เป็นอาณาจักรแสนยิ่งใหญ่ ที่ประกอบด้วยเมืองเอกหลายเมืองด้วยกัน มีเมืองสำคัญหลายเมือง คือเมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริ เวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างนั้นมีหลายแบบ เช่น ปิรามิด วิหาร ปละปราสาทราชวัง ซึ่งสร้างจากศิลาล้วนๆ บ่บอกความเจริญรุ่งเรืองของชาวมายาอย่างดี ในระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น ตามประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า ในระยะเวลาดังกล่าว อารยธรรมมายาได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดมากๆได้สร้างพีร ะมิดและพระราชวังที่ มโหฬารและวิจิตรอลังการมากมาย

            ชาวมายามาจากไหนแน่ นักโบราณคดีหลายคน ต่างพยายามศึกษาความเป็นมาของเผ่านี้ จากหลักฐานโบราณคดีที่เหลืออยู่ แต่ก็สับสนอยู่ดีว่าพวกเขามาจากไหนกันแน่ มี ศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เขียนข้อความอย่างละเอียดเต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ซึ่งแสดงว่าชาวมายามีภาษาเป็นของตนเองและชอบบันทึกปร ะวัติศาสตร์ แต่น่าเสียดาย ในข้อความศิลาจารึกนั้นกลับไม่มีใครสักคนที่อ่านออก ตีความได้สักคนเดียว สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับมายา สันนิษฐานว่า ชาวมายาอาจสืบเชื้อสายมาจากอิสราเอล ไม่ก็กรุงทรอย คาร์เธจ ฮั่น แอตแลนติส ฯลฯ ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ ใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อ และไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง

            นอกจากนี้ ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้น เหล่าเชลยศึกสงครามจะถูกชาวมายาฆ่าเพื่อเอาเลือดไปถวายเทพ(บางครั้งก็เลือก กันเองในเผ่า) แน่นอนมีตำนานเกี่ยวกับที่มาของชนเผ่านี้ด้วย จากคำบอกเล่าว่ากันว่า ชาวมายาสืบเชื้อสายจากพระเจ้าผิวสีขาว มีเครายาว และเดินทางมาจากฟากฟ้าโพ้น อาณาจักรมายามีซากสิ่งก่อสร้างหลายแห่งหลายที และแต่ละที่นั้นถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกทั้งสิ้น

          - ติ กัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน

          - เปเตน (Peten) ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)

          - ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls

            นักโบราณคดียุคปัจจุบันต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอัน มหัศจรรย์มากมายของชาว มายาซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงพีระมิด ราชวังและหอดูดาว เป็นต้น ยอดพีระมิดของชาวมายาจะแบนราบต่างจากพีระมิดของชาวอี ยิปต์ พีระมิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย และแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพ ราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง และเมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ มันช่างอลังการเหลือเกินอย่าว่าแต่สมัย โบราณเลย เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับ ว่ายากมากๆ

            นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานถึงทฤษฏีพระเจ้าจากอวกาศ หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวมายานี่ก็อีก รูปสลักภาพวาดแต่ละภาพ ล้วนสวยงามตามเอกลักษณ์แบบศิลปะมายา แต่ก็น่าแปลกที่พระเจ้าของพวกเขา ล้วนพิลึกกึกกือเป็นที่สุด บางรูปเป็นรูปพระเจ้าขับยานอวกาศ บางภาพเป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือปืนอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือครับ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ

            แล้วชาวมายาหายไปไหน ทุกวันนี้ นักโบราณคดี ยังคงศึกษาอาณาจักรมายัน เพื่อไขปริศนากันต่อไป ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์ การบินอวกาศมาร์แชล ก็เป็นคนหนึ่ง เชฟเวอร์และทีมงานทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกัวเตมาลา ซึ่งติดกับพรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งหาหลักฐานที่สายตามนุษย์ มองไม่เห็น สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของ เมืองร้างแห่งนี้คือ เรณูของต้นหญ้า แทนที่จะเป็นเรณูของต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมือง เพเตน ลดลงกินบริเวณกว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา มีคนบอกว่าเมื่อไม่มีป่าฝนก็จะเกิดการกัดเซาะ และการระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหมดสิ้น หลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสาบ

            ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่า ไม้จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของ ศูนย์การบินอวกาศมาร์แชล หนึ่งทีมงานใช้แบบจำลอง คอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่ง ไม่เหมาะต่อการเจริญ เติบโตของพืช นอกจากนั้นอุณหภูมิ ที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อ การมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตน จะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำ แต่มันก็คงจะ ระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้

            ขณะที่อาณาจักรมายัน มีประชากรจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย การศึกษาพบว่าประมาณ คริสต์ศักราช 800 เมืองของชาวมายามีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ในพื้นที่ชนบทมีประชากร 500-700 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ และ 1,800-2,600 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ ในบริเวณศูนย์กลางของอาณาจักรทาง ตอนเหนือของประเทศ กัวเตมาลา พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ "บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" ทอม เชฟเวอร์

            หลักฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่า กระดูกของชาวมายา ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสามทศวรรษ ก่อนอาณาจักรมายันจะล่มสลาย ซึ่งแสดงว่า เป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง ทอม เชฟเวอร์ สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมด ล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติ ผสมผสานกับการทำลายป่าไม้ของมนุษย์ และ เขาคิดว่าการเรียนรู้ว่าชาวมายาทำอะไรถูกต้องและทำอะ ไรผิดพลาดจะช่วยให้ ประชาชนพบวิถีทางที่ยั่งยืนในการทำการเกษตร โดยจะหยุดยั้งการทำสิ่งที่เลยเถิดในช่วงเวลาอันสั้นซึ่งเคย ทำลาย ชาวมายามา แล้ว

            ทฤษฎี ที่โด่งดังมากสุด และทำให้มนุษยชาติ ตื่นตระหนกมากที่สุด คงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า ด้วยชุดเลขสวย 212012

            ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าว จะเวียนมาบรรจบ เพื่อก่อกำเนิดดวงอาทิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกครั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง

            สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลก ข้างต้นตามจินตนาการของ อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญา ชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์ หรือ ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเครื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลา พากันวิ่งออกไปคนละทิศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้ คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน

            น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากท ี่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

            สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเวณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อน และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว

โพสท์โดย: น้องมิ่ง รัตนาภรณ์
อ้างอิงจาก:
wikipedia
Teotihuacán เตโอติฮวากัน เมืองโบราณที่ไม่รู้ใครสร้าง
ตำนาน วันสิ้นโลก
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: gru ก็ งง, paktronghie
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เจ้าแม่เงินกู้ดอกโหด ร้อยละ 720 ถูกจับคาหนังคาเขา!‘Luxury Shaming’ อับอายที่จะอวดว่ารวย เทรนด์เศรษฐีจีนยุคใหม่ เลิกอวดรวย ขอแพงแบบเงียบ ๆเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568สั่งพักงานยกชุด! 18 ตำรวจจราจร ปมตั้งโต๊ะจับปรับ 'เจอจ่ายจบ'"น้องเต้าหู้แจกไข่ให้ชาวบ้าน แต่กลับเจอมนุษย์ป้ารุมเข้ามาจัดการ ทำเอาน้องอึ้งจนพูดไม่ออก เห็นแล้วรู้สึกอายแทนจริงๆเพจดังเปิดภาพพระสงฆ์ ควงแขนผู้ชาย ชาว เน็ตวิจารณ์ยับเชน ธนา การเงินวิกฤตหนัก ตัดใจประกาศขายออฟฟิศ 3 ตึก ราคารวมเกือบร้อยล้านจอมขมังเวทย์ไทย หัวใส จับกระแส โกโกวา ใส่จิต เป็นกุมารี ออกให้เช่าบูชาคนดูยังท้อ!! หนุ่มทำคอนเทนต์ตามล่า “ ช็อกโกแลตดูไบ” ในเซเว่น หาทั้งจังหวัด 23 สาขา ก็ยังไม่มี แต่สุดท้ายได้ลองสมใจด่วน!เป็ด เชิญยิ้ม ตลกรุ่นใหญ่ เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หลังติดเชื้อโนโรไวรัส ยังไม่มียารักษาเจ้าหนี้วัย 62 ปี ผูกคoเสียชีวิต ประชด หลังลูกหนี้ที่ทำงานราชการอยู่เทศบาลกินหรูอยู่สบาย ลั่น“ชีวิตกูพังเพราะมึงเลขเด็ด ธูปปู่ 2 มกราคม 2568
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เลขเด็ด เลขมาเเรง เลขดัง "รวมหวยเด็ดสำนักดัง vol.4" งวดวันที่ 2 มกราคม 2568ตามหาเลขเด็ดยังไงให้ปัง! 7 เทคนิคเลือกเลขที่ใช่สำหรับงวดนี้"คนดูยังท้อ!! หนุ่มทำคอนเทนต์ตามล่า “ ช็อกโกแลตดูไบ” ในเซเว่น หาทั้งจังหวัด 23 สาขา ก็ยังไม่มี แต่สุดท้ายได้ลองสมใจ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ดูดวง เรื่องลึกลับ
จอมขมังเวทย์ไทย หัวใส จับกระแส โกโกวา ใส่จิต เป็นกุมารี ออกให้เช่าบูชา4 ราศี รวยไม่หยุด เตรียมรับดาวใหญ่ที่มาพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ปี 2568รวมภาพถ่ายชวนขนลุก! วิญญาณหลอนโผล่ในกรอบรูปอย่างน่าพิศวง..ดวงประจำปี 2025: โชคลาภมาแรง ใครต้องเริ่มต้นใหม่ ใครจะได้โชคแบบไม่คาดฝัน!"
ตั้งกระทู้ใหม่