หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เมืองกีร์ซู (Girsu) อารยธรรมอันน่าทึ่งของชาวสุเมเรียนโบราณ

โพสท์โดย น้องมิ่ง รัตนาภรณ์

 

กีร์ซู (Girsu) หรือในภาษาสุเมเรียนเรียกว่า Ĝirsu เป็นเมืองในยุคโบราณของสุเมอร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลากัช (Lagash) ประมาณ 25 กิโลเมตร (16 ไมล์) ปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของโบราณสถานเตลล์เทลโล (Tell Telloh) ในเขตผู้ว่าการดิการ์ (Dhi Qar Governorate) ประเทศอิรัก เมืองนี้ เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ของราชอาณาจักรลากัช โดยมีวิหารสำคัญสำหรับบูชาเทพเจ้าหนิงกีร์ซู(Ningirsu) และเทพีบาอู (Bau) รวมถึงจัดเทศกาลหลายวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าทั้งสององค์ 

เมืองกีร์ซู ถูกค้นพบครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส แอร์เนสต์ เดอ ซาร์เซ็ค ที่เริ่มขุดค้นในช่วงปี 1880 การขุดค้นในช่วงแรก ทำให้พบเสาหินแห่งอีแอนนาทุม (Stele of the Vultures) ซึ่งเป็นอนุสรณ์สงคราม ที่เก่าแก่ที่สุด ที่ทราบกันในปัจจุบัน เสาหินนี้ สร้างขึ้นในยุคไดนาสติกตอนปลาย IIIb (2600-2350 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของกษัตริย์อีแอนนาทุม แห่งลากัช เหนืออุช กษัตริย์แห่งอุมมา   

กีร์ซู อาจมีผู้คนอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยอูไบด (Ubaid) ราว 5300-4800 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่กิจกรรมสำคัญ เริ่มปรากฏในยุคไดนาสติกตอนต้น (Early Dynastic Period) ราว 2900-2335 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในยุคของกูเดีย (Gudea) ซึ่งอยู่ในราชวงศ์ที่สองของลากัช กีร์ซู กลายเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรลากัช และยังคงเป็นศูนย์กลางทางศาสนา แม้อำนาจการปกครอง จะย้ายไปยังเมืองลากัชก็ตาม 

ในยุคอูร์ที่ 3 (Ur III) กีร์ซู เป็นศูนย์กลางการบริหารที่สำคัญ ของจักรวรรดิสุเมอร์ หลังจากการล่มสลายของอูร์ กีร์ซู เริ่มเสื่อมถอยในความสำคัญ แต่ยังมีผู้คนอยู่อาศัยจนถึงราว 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานสำคัญที่พบในกีร์ซู รวมถึงจารึกสองภาษา (กรีกและอราเมอิก) ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช 

กีร์ซู ประกอบด้วยเนินดินหลักสองแห่ง เนินหนึ่งสูง 50 ฟุต และอีกเนินสูง 56 ฟุต รวมถึงเนินเล็ก ๆ หลายแห่ง โบราณสถานแห่งนี้ เป็นแหล่งโบราณคดีสุเมอร์แห่งแรก ที่มีการขุดค้นอย่างกว้างขวาง โดยมีการขุดค้นใน 11 แคมเปญระหว่างปี 1877–1900 นำโดยเออร์เนสต์ เดอ ซาร์เซก (Ernest de Sarzec) กงสุลฝรั่งเศสที่บัสรา ตามมาด้วยกัสตอง ครอส (Gaston Cros) ระหว่างปี 1903–1909 

การค้นพบสำคัญ ได้แก่ รูปปั้นสตรีที่ทำจากหินอ่อน กำไลทองแดงเคลือบทอง และชิ้นส่วนจานแกะสลักรูปสิงโต พร้อมจารึกสุเมเรียนบางส่วน 

การขุดค้นต่อมาในปี 1929–1931 ดำเนินการโดยอาแบ อองรี เดอ เจอนูยัก (Abbé Henri de Genouillac) และในปี 1931–1933 โดยอังเดร ปาโรต์ (André Parrot) ชิ้นส่วนของสเตเลแห่งแร้ง (Stele of the Vultures) ก็พบในกีร์ซู

ในปี 2016 การขุดค้นที่กีร์ซู เริ่มต้นอีกครั้ง ในโครงการฝึกอบรมโบราณคดี สำหรับนักโบราณคดีชาวอิรัก โดยพิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) 

ในปี 2019 ที่เนินพระราชวัง นักโบราณคดีพบวิหารเอ-นินนุ (E-ninnu) ซึ่งเป็นวิหารของเทพหนิงกีร์ซู ในเดือนมีนาคม 2020 มีการประกาศการค้นพบพื้นที่พิธีกรรมอายุ 5,000 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยถ้วย เครื่องปั้นดินเผา เครื่องบูชา และพิธีกรรมทางศาสนา 

ในปี 2023 นักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์บริติช และพิพิธภัณฑ์เก็ตตี้ (Getty Museum) เปิดเผยพระราชวังลอร์ดของราชวงศ์สุเมอร์อายุ 4,500 ปี พร้อมกับแผ่นจารึกดินเหนียวกว่า 200 แผ่นที่บันทึกข้อมูลการบริหารของกีร์ซู

นักวิชาการยังตั้งสมมติฐานว่า ศาลเจ้าเฮเลนนิสติกในกีร์ซู อาจสร้างขึ้นโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช บนซากวิหารเอ-นินนุ โดยศาลเจ้านี้ อุทิศให้ซุส และบุตรเทพสององค์ ได้แก่ เฮราคลีส และอเล็กซานเดอร์ 

ที่เมืองโบราณกีร์ซู ตั้งอยู่ใกล้เมืองนาซิริยา ทางตอนใต้ของอิรัก การขุดค้นโดยพิพิธภัณฑ์บริติชเมื่อเร็ว ๆ นี้ เผยให้เห็นว่า ชาวสุเมเรียนโบราณ ได้คิดค้น “ระบบคลองน้ำรักษาอารยธรรม” เมื่อ 4,000 ปีก่อน 

การขุดค้นล่าสุดที่กีร์ซูได้ค้นพบ "โครงสร้างลึกลับ" ซึ่งในช่วงปี 1920 ถูกตีความว่า เป็นวิหารที่มีรูปทรงผิดปกติ แต่ทีมงานจากโครงการกีร์ซู ของพิพิธภัณฑ์บริติช ได้ค้นพบหน้าที่ที่แท้จริง ของโครงสร้างลึกลับ ที่สร้างขึ้นโดยอารยธรรมดังกล่าว 

ทีมงานอธิบายว่า อุปกรณ์กู้ชีวิตในยุคโบราณนี้คือ “ฟลูม” (flume) ซึ่งใช้ส่งน้ำไปยังพื้นที่ห่างไกลเพื่อการเกษตร เมื่อวิถีชีวิตของพวกเขาถูกคุกคาม จากการที่คลองสำคัญแห้งเหือดลง ชาวสุเมเรียน ซึ่งเป็นผู้บันทึกเรื่องเล่าน้ำท่วม ในพระคัมภีร์ไบเบิลในยุคแรก ๆ ได้สร้าง "เครื่องต้านภัยแล้ง" นี้ขึ้นมา 

เอบรู โตรุน สถาปนิกและผู้อนุรักษ์ ที่ทำงานร่วมกับทีมพิพิธภัณฑ์บริติชในอิรัก กล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ไม่มีตัวอย่างอื่นในประวัติศาสตร์เลย จนกระทั่งยุคปัจจุบัน” 

โตรุนกล่าวว่า สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุด เกี่ยวกับการค้นพบนี้ก็คือ นักโบราณคดีเคยคิดว่า เทคโนโลยีเช่นนี้ไม่ปรากฏ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 

ในบทความของ Telegraph ดร.เซบาสเตียง เรย์ นักโบราณคดี และผู้นำโครงการในอิรัก อธิบายว่าผู้คน “เห็นคลองแห้งลง และเต็มไปด้วยตะกอนทีละสาย” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “นี่ไม่ใช่แค่สะพาน แต่มันคือเครื่องต้านภัยแล้ง และป้องกันการล่มสลาย” นอกจากนี้ แผ่นศิลาจารึกทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ยังพูดถึง "วิกฤตน้ำ และความพยายามสุดท้าย ที่จะกอบกู้ตนเอง" เรย์กล่าว 

อารยธรรมของพวกเขา ขึ้นอยู่กับน้ำ และการชลประทานขั้นสูง ซึ่งนำน้ำจากแม่น้ำไทกริสและยูเฟรทีสเข้าสู่คลอง ที่รดน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูก อันเป็นพื้นฐาน ที่ทำให้ชีวิตในเมืองดำรงอยู่ได้ ทุกอย่างนี้ เป็นส่วนหนึ่งของระเบียบ ที่ค้ำจุนโดยเหล่าทวยเทพ ซึ่งในทางกลับกัน ก็ได้รับการสังเวยและถวายเครื่องบูชา แต่เมื่อเทพเจ้าละทิ้งกีร์ซู ชาวสุเมเรียน จึงต้องหาหนทางช่วยตนเอง 

คลองนี้ ประกอบด้วยโครงสร้างอิฐโคลนสมมาตรสองส่วน มีความยาวประมาณ 130 ฟุต ความกว้าง 33 ฟุต และกำแพงสูง 11 ฟุต จัดเรียงในรูปแบบโค้งสองโค้งที่โค้งออกไปด้านนอก 

ในโครงการกีร์ซู ของพิพิธภัณฑ์บริติช ทีมวิทยาศาสตร์ได้ใช้โดรน บินรอบหมู่บ้านนาสร์ และค้นพบ "เครื่องกู้ชีวิต" นี้ ซึ่งตั้งอยู่บนคลองยาว 19 กิโลเมตร (12 ไมล์) เนื่องจากโครงสร้างดังกล่าว คร่อมอยู่บนแหล่งน้ำ จึงถูกขนานนามว่า "สะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก"

จนถึงปัจจุบัน Jisr al-Hajar Hajirah หรือสะพานคาราวาน ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโบราณเอ็ดเดสซา (ปัจจุบันคือเมืองอูร์ฟา) ในตุรกี ได้รับการยอมรับว่า เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นประมาณ 850 ปีก่อนคริสตกาล 

แต่การวิจัยล่าสุดเผยว่า โครงสร้างที่ช่วยชักนำคลองกว้าง 100 ฟุต ให้ผ่านช่องทางแคบ 13 ฟุต ได้สร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เอฟเฟกต์เวนตูรี” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ จะยังไม่ค้นพบ จนถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ปรากฏการณ์นี้หมายถึง การเพิ่มความเร็วของของเหลว เมื่อผ่าน "คอคอด" ที่แคบ และสามารถใช้งานได้กับโครงสร้างที่เรียกว่า “ฟลูมเวนตูรี” 

มีการเชื่อกันว่า โครงสร้างนี้ถูกสร้างขึ้น โดยคนรุ่นสุดท้าย ที่อาศัยอยู่ในกีร์ซู ในความพยายามครั้งสุดท้าย ที่จะป้องกันไม่ให้บ้านของพวกเขา กลายเป็นสถานที่ ที่ไม่อาจอยู่อาศัยได้ 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สะพรึง! สื่อนอกแฉภาพเอกซเรย์ "อาหารไทย" เมนูโปรด เสี่ยงมะเร็งตับ! ️คนไทยแห่ไล่ชาวยิว ปาเลสไตน์ เลบานอน ที่หนีสงครามมาอยู่แม่ฮ่องสอนแล้ว!!อัพเดททรัพย์สิน "ลิซ่า" ปี2024 เผยความรวยเกินคาดสาวไม่พอใจเจ้าหน้าที่สนามบินตรวจค้นกระเป๋า แอบถ่ายคลิปเฉย ชาวเน็ตคอมเม้นต์ไม่แตกแถว ขึ้นเครื่องครั้งแรกเหรอจ๊ะหนูครูเต้ยโพสต์ยอมรับมีการเรียกเด็กเอ็นมาดูแลพบคอนแทคเลนส์ 5 อันที่คิดว่าหายไป ตกอยู่ในลูกตาด้านหลังขณะทำศัลยกรรมไต้หวันขึ้นบัญชีดำไทย ติด 1 ใน 5 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูง เหตุเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการมิจฉาชีพวอนบินไปร่วมงานศพของคิมแซรอนผู้ล่วงลับขนมเปิดเผยสาเหตุ ที่เลิกลากับครูเต้ย"ไอ้โน็ต" ฟิวส์ขาด! ปลิดชีพ 3 พ่อแม่ลูก ก่อนตะคอกนักข่าว ประโยคเด็ดทำสะดุ้งทั้งวง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
วอนบินไปร่วมงานศพของคิมแซรอนผู้ล่วงลับเปิดหน้าแล้ว! ชายโหดตบพยาบาล หลังไม่ให้เด็กเข้าเยี่ยม ICUเครื่องบินโดยสารประสบเหตุ "หงายท้อง" ขณะลงจอดที่สนามบินหนุ่มถูกไล่ลงจากรถทัวร์ตอนกลางคืน เหตุไม่พอใจที่พนักงานจัดที่นั่งตรงบรรไดทางขึ้นให้
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
เปิดประสบการณ์สุดขั้ว! ยูทูบเบอร์อังกฤษรีวิวเที่ยว "เกาหลีเหนือ" 2 สัปดาห์ เผยความจริงที่โลกไม่เคยรู้ 🇰🇵เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่ไหม? อัปเดตล่าสุด ปมงบจัดการน้ำทั่วประเทศ7 เทคนิค หา "รอยยิ้ม" ให้ตัวเองชวนมาทำความรู้จักกับสัตว์น้ำ 7 ชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริง!!!
ตั้งกระทู้ใหม่