ต่อยท้องเล่นๆ ลำไส้ทะลุ-ตับแตก เสี่ยงตาย และมีปัญหาช่องท้องระยะยาว อย่าเล่นพิเรนทร์! มีลูกเตือนลูก!
ต่อยท้อง การละเล่นที่คุ้นเคยของวัยรุ่นไทยมาหลายยุคสมัย รวมไปถึงการโชว์ความแข็งแรงหน้าท้องให้เพื่อนมาชกเล่น เป็นการแสดงความสนิทสนมระหว่างเพื่อนที่หลายคนอาจมองว่าไร้พิษภัย แต่รู้หรือไม่ว่า การเล่นพิเรนทร์ต่อยท้องกัน โดยเฉพาะเมื่อทำอย่างรุนแรงหรือบริเวณที่ไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
จากสถิติทางการแพทย์พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้บาดเจ็บจากการ "ต่อยท้อง" ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า 150 รายทั่วประเทศ และมีผู้เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนอย่างน้อย 3 ราย บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในการเล่น "ต่อยท้อง" อย่างละเอียด พร้อมทั้งนำเสนอกรณีศึกษาที่น่าสนใจและคำเตือนจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เข้าใจกลไกการต่อยท้องและอันตรายที่แฝงอยู่
การต่อยท้อง คือการใช้หมัดหรือกำปั้นกระแทกเข้าที่บริเวณท้องของอีกฝ่าย ซึ่งในช่องท้องของมนุษย์นั้นประกอบไปด้วยอวัยวะสำคัญมากมาย ทั้งตับ ม้าม ไต ลำไส้ และอื่นๆ อีกทั้งยังมีเส้นเลือดใหญ่อย่างเส้นเลือดเอออร์ตา (Aorta) ที่เป็นเส้นเลือดแดงใหญ่หลักของร่างกาย
ศาสตราจารย์นายแพทย์ วิชัย ประสาทวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า
"การกระแทกที่ช่องท้องอย่างรุนแรงสามารถก่อให้เกิดการฉีกขาดของอวัยวะภายใน โดยเฉพาะตับและม้ามซึ่งเป็นอวัยวะที่มีเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มและเปราะบาง การบาดเจ็บที่อวัยวะเหล่านี้อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกภายในช่องท้องอย่างรุนแรงได้" — ศาสตราจารย์นายแพทย์ วิชัย ประสาทวิทยา กล่าว
กลไกการบาดเจ็บจากการต่อยท้อง
-
การกระแทกโดยตรง (Direct Blunt Force Trauma): เมื่อมีแรงกระแทกเข้าที่ช่องท้องโดยตรง แรงนั้นจะถ่ายทอดไปยังอวัยวะภายใน ทำให้เกิดการฉีกขาดหรือแตกของเนื้อเยื่อ
-
แรงกดอัด (Compression Force): อวัยวะภายในถูกกดอัดระหว่างแรงกระแทกจากภายนอกกับกระดูกสันหลังด้านใน ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
-
แรงฉีก (Shearing Force): เมื่อร่างกายส่วนหนึ่งเคลื่อนที่ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งอยู่นิ่ง ทำให้เกิดแรงฉีกที่จุดเชื่อมต่อของอวัยวะ
-
การกระเพื่อม (Cavitation): แรงกระแทกทำให้เกิดการกระเพื่อมของเนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการฉีกขาดในระดับเซลล์
อันตรายจากการเล่นต่อยท้องในประเทศไทย
ดวลหมัดช่องท้องลงโซเชียล เส้นเลือดแตกในช่องท้อง (อุตรดิตถ์, 2567)
ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งโพสต์คลิปเตือนภัยพร้อมข้อความสะเทือนใจ "ครั้งแรกในชีวิตเกือบตาย" เล่าประสบการณ์หวิดเสียชีวิตจากการลองทำตามเทรนด์ดวลหมัดต่อยท้องที่กำลังแพร่หลายในโลกออนไลน์ เขาเปิดเผยสภาพร่างกายหลังเข้ารับการรักษา ว่าเส้นเลือดในช่องท้องแตก มีเลือดออกภายในถึง 3 ลิตร ความดันโลหิตตกเหลือเพียง 40 ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน โดยโพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจและมีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวนมาก
นายรัชนาท เจ้าของคลิปดังกล่าว เขาเล่าว่าเหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อเขาและกลุ่มเพื่อนพบเห็นคลิปแชลเลนจ์การดวลหมัดต่อยช่องท้องในโซเชียลมีเดีย ซึ่งจากคลิปที่ดูไม่มีผู้เข้าร่วมคนใดแสดงอาการบาดเจ็บรุนแรง จึงเกิดความอยากลองและทำตาม
การทดลองครั้งแรกเกิดขึ้นในคืนวันที่ 9 มิถุนายน 2567 โดยผลัดกันต่อยท้องเพียงคนละหนึ่งหมัด ต่อมาในคืนถัดมา ด้วยความติดใจจึงชวนเพื่อนเพิ่มอีกคนและเพิ่มจำนวนหมัดเป็นคนละ 4-5 หมัด แต่การเล่นครั้งนี้ทำให้นายรัชนาทรู้สึกจุกและปวดท้องอย่างรุนแรงทันที จนต้องยอมแพ้และกลับบ้าน
อาการเริ่มทรุดหนักในคืนนั้น เขามีอาการปวดท้องรุนแรงจนทนไม่ไหว สมาชิกในครอบครัวต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ผลการตรวจเอกซเรย์สร้างความตกใจอย่างมาก เมื่อแพทย์แจ้งว่าเส้นเลือดในช่องท้องได้รับความเสียหายจนแตก ส่งผลให้มีเลือดไหลเข้าสู่ช่องท้อง ความดันโลหิตตกอย่างรวดเร็ว และมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินทันที
หลังการผ่าตัดประสบความสำเร็จ นายรัชนาทต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน ก่อนที่แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ร่างกายของเขายังไม่สามารถกลับมาแข็งแรงได้เหมือนเดิม
ด้วยประสบการณ์อันเจ็บปวดและเฉียดตายนี้ นายรัชนาทจึงตัดสินใจเผยแพร่เรื่องราวของตนเองเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนสติผู้อื่น โดยเน้นย้ำว่าแม้จะดูเหมือนเป็นการเล่นสนุกๆ เพียงแค่ต่อยท้องไม่กี่หมัด แต่สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงและอันตรายถึงชีวิตได้อย่างคาดไม่ถึง
อวัยวะที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการต่อยท้อง
-
ตับ (Liver): เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ มีเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม และมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก การบาดเจ็บที่ตับสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดออกอย่างรุนแรงและควบคุมได้ยาก
แพทย์หญิงสุชาดา ศรีทิพยวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคตับ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า "ตับเป็นอวัยวะที่บอบบางและมีเส้นเลือดมาก การฉีกขาดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เสียเลือดมาก และในบางกรณี แม้จะดูเหมือนไม่มีอาการในทันที แต่อาจมีการเลือดออกช้าๆ ที่ซ่อนเร้น จนกระทั่งผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะช็อกจากการเสียเลือด"
-
ม้าม (Spleen): เป็นอวัยวะที่เปราะบางและมีเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก อยู่บริเวณชายโครงด้านซ้าย การแตกของม้ามสามารถทำให้เกิดภาวะเลือดออกในช่องท้องอย่างรุนแรงได้
ศาสตราจารย์นายแพทย์สมพงษ์ สุวรรณวลัยกร ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อธิบายว่า "ม้ามเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่ก็เป็นอวัยวะที่บอบบางมาก การกระแทกที่รุนแรงอาจทำให้ม้ามแตกและเกิดภาวะเลือดออกในช่องท้องอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรมที่ต้องได้รับการผ่าตัดโดยเร่งด่วน"
-
ไต (Kidneys): อยู่บริเวณเอวด้านหลัง การกระแทกบริเวณนี้อาจทำให้เกิดไตช้ำหรือฉีกขาด เป็นสาเหตุของเลือดในปัสสาวะและการทำงานของไตผิดปกติ
-
ลำไส้ (Intestines): การกระแทกที่รุนแรงอาจทำให้ผนังลำไส้ฉีกขาดหรือทะลุ นำไปสู่การติดเชื้อในช่องท้องอย่างรุนแรง
-
ตับอ่อน (Pancreas): การบาดเจ็บที่ตับอ่อนอาจนำไปสู่ภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pancreatitis) ซึ่งเป็นภาวะที่มีอันตรายถึงชีวิต
-
หลอดเลือดเอออร์ตา (Aorta): เป็นเส้นเลือดแดงใหญ่ที่นำเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย การบาดเจ็บที่รุนแรงอาจทำให้เกิดการฉีกขาดของผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างรวดเร็ว
อาการที่ควรสังเกตหลังถูกต่อยท้อง
นายแพทย์อำนาจ มะลิทอง แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้คำแนะนำว่า หากถูกต่อยท้องและมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที:
- ปวดท้องรุนแรงหรือปวดต่อเนื่องนานกว่า 1 ชั่วโมง
- อาเจียน โดยเฉพาะอาเจียนเป็นเลือด
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ช็อก มีอาการเหงื่อออก ผิวซีด ใจสั่น หน้ามืด
- ท้องแข็งผิดปกติเมื่อคลำ
- มีไข้
- หายใจลำบาก
งานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการบาดเจ็บจากการกระแทกช่องท้อง
การวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการบาดเจ็บจากการกระแทกช่องท้องได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ฉุกเฉินและอุบัติเหตุ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยจากอุบัติเหตุทางถนนและการเล่นกีฬา
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล (2563)
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บที่ช่องท้องแบบไม่ทะลุทะลวง (Blunt Abdominal Trauma) จำนวน 245 ราย ในช่วงปี 2560-2562 พบว่า:
- 68% ของการบาดเจ็บมาจากอุบัติเหตุทางถนน
- 12% มาจากการเล่นกีฬาและกิจกรรมนันทนาการ
- 8% มาจากการทะเลาะวิวาท
- 7% มาจากการเล่นหยอกล้อรุนแรง รวมถึงการ "ต่อยท้อง"
- 5% มาจากสาเหตุอื่นๆ
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเสริฐ เลิศสงวนสินชัย หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า "ที่น่าตกใจคือ ในกลุ่มการบาดเจ็บจากการเล่นหยอกล้อรุนแรง มีถึง 42% ที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน และมี 3 รายที่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ซึ่งทั้งหมดเป็นการบาดเจ็บที่สามารถป้องกันได้"
การศึกษาจาก Journal of Trauma and Acute Care Surgery (2020)
ในปี 2020 มีการตีพิมพ์ผลการวิจัยในวารสาร Journal of Trauma and Acute Care Surgery เกี่ยวกับผลกระทบของการบาดเจ็บที่ช่องท้องในระยะยาว โดยติดตามผู้ป่วย 187 รายที่มีการบาดเจ็บที่ช่องท้องแบบไม่ทะลุทะลวง เป็นเวลา 3 ปี พบว่า:
- 23% มีอาการปวดท้องเรื้อรัง
- 18% มีปัญหาการทำงานของลำไส้ผิดปกติ
- 12% มีการทำงานของตับบกพร่องในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- 8% มีการทำงานของไตลดลง
นักวิจัยสรุปว่า การบาดเจ็บที่ช่องท้องแม้จะดูเหมือนไม่รุนแรงในระยะแรก แต่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
ทำไมนักมวยจึงไม่เป็นอันตรายเมื่อถูกต่อยท้อง?
หลายคนอาจสงสัยว่า ในเมื่อการต่อยท้องมีอันตรายมากมาย แล้วทำไมนักมวยที่ถูกต่อยท้องบ่อยๆ จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต คำตอบมีหลายประการดังนี้
1. การเตรียมร่างกายและการฝึกซ้อม
นายแพทย์ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬา อธิบายว่า "นักมวยมีการเตรียมร่างกายและฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงและสามารถป้องกันแรงกระแทกได้ดีกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ rectus abdominis และ transversus abdominis ซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยปกป้องอวัยวะภายใน"
นักมวยมืออาชีพจะมีการฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างหนัก ทั้งการซิทอัพ แพลงก์ และการฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้องแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้มีความแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป 3-4 เท่า
2. เทคนิคการเกร็งกล้ามเนื้อและการหายใจ
"นักมวยมีเทคนิคการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องในจังหวะที่คาดว่าจะถูกต่อย และมีเทคนิคการหายใจเฉพาะที่ช่วยลดแรงกระแทก" อรรถพล อำนวยประเสริฐ อดีตแชมป์มวยไทยและผู้ฝึกสอนมวยมืออาชีพ อธิบายเพิ่มเติม
เทคนิคเหล่านี้ได้แก่:
- การหายใจออกขณะถูกต่อย เพื่อลดแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น
- การเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างถูกจังหวะ
- การขยับตัวตามแรงกระแทกเพื่อลดแรงปะทะ (roll with the punch)
3. การรู้จุดอันตรายและการป้องกัน
นักมวยได้รับการฝึกให้รู้จักจุดอันตรายบนร่างกาย และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง สมชาย เพชรอาวุธ ผู้ตัดสินมวยไทยระดับนานาชาติกล่าว "พวกเขารู้ว่าบริเวณไหนที่ห้ามถูกต่อย และจะป้องกันจุดเหล่านั้นเป็นพิเศษ"
ในกีฬามวย มีกฎระเบียบที่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดที่ห้ามต่อย เช่น บริเวณหลังศีรษะ ต่ำกว่าเอว หรือไตด้านหลัง ซึ่งเป็นการป้องกันการบาดเจ็บรุนแรง
4. การสวมอุปกรณ์ป้องกัน
ในการซ้อมและในบางประเภทของการแข่งขัน นักมวยจะสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เกราะกันกระแทก ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของการกระแทก นักมวยสมัครเล่นและในการฝึกซ้อมจะใช้นวมที่มีน้ำหนักมากกว่า ซึ่งช่วยกระจายแรงกระแทกและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
5. การดูแลร่างกายอย่างเป็นระบบ
นักมวยมืออาชีพมีระบบการดูแลสุขภาพที่เข้มงวด รวมถึงการตรวจสุขภาพประจำ การพักฟื้นหลังการแข่งขัน และการรักษาการบาดเจ็บอย่างทันท่วงที หากมีสัญญาณของการบาดเจ็บรุนแรง พวกเขาจะได้รับการรักษาทันที ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาโดยเฉพาะ
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
นกพิราบ พาหะนำโรคที่เปรียบเหมือนหนูบินได้
เข้าหน้าร้อนแล้ว ไม่ล้างแอร์นาน เสี่ยงเกิดโรคปอดอักเสบ
สมภารไม่กินไก่วัด เหตุผลที่หัวหน้าไม่ควรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกน้อง
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ
















