ทำไมเยอรมนีจึงเป็นประเทศแห่งอุตสาหกรรมเคมี ?
วิชาเคมี หรือ Chemistry มีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า Alchemy ซึ่งแปลว่าการเล่นแร่แปรธาตุ การเล่นแร่แปรธาตุ อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานานหลายพันปี จากเรื่องลี้ลับถูกพัฒนามาสู่การศึกษาโครงสร้างและคุณสมบัติของสสารต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
ก่อกำเนิดเป็นวิชาเคมีในที่สุดและหนึ่งในประเทศที่พัฒนากระบวนการศึกษา และผูกพันกับวิชาเคมีมากที่สุดก็คือ “เยอรมนี”
เวลานั้น อังกฤษเป็นประเทศที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นชาติแรก และเป็นผู้นำในการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือด้านเคมี
และแท้จริงแล้ว องค์ความรู้ทางด้านเคมีของเยอรมนี มีจุดเริ่มต้นมาจากนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ William Henry Perkin ผู้ค้นพบ
โดยบังเอิญว่า น้ำมันดิน หรือ Coal Tar ซึ่งได้จากถ่านหิน มีสารชนิดหนึ่งที่สามารถให้สีม่วงที่ติดทนนานและสารนี้ถูกตั้งชื่อว่า Aniline
ก่อนหน้านั้น ผู้คนส่วนใหญ่จะย้อมสีผ้าด้วยสีจากธรรมชาติ ซึ่งจะให้สีซีด ไม่ติดทนนาน มีแต่คนร่ำรวยเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน
สีสังเคราะห์ จึงสร้างการเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้วงการเครื่องแต่งกายและการค้นพบสาร Aniline นี้ ก็นำมาสู่การตั้งโรงงานสีสังเคราะห์ แต่หลังจากก่อตั้งโรงงานได้เพียง 15 ปี นักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็จำใจต้องขายโรงงานทิ้งเพื่อมาเป็นนักวิชาการต่อตามเดิม เพราะไม่อยากทนคำครหาของวงการ นักวิชาการในวงการวิชาการของอังกฤษ นักวิชาการอังกฤษจะต้องวางตัวเป็น “สุภาพบุรุษ”ไม่ทำธุรกิจ และไม่ยุ่งกับภาคอุตสาหกรรม
ประกอบกับในช่วงเวลานั้น ความร่ำรวยจากการค้ากับอาณานิคม ทำให้อังกฤษไม่ได้สนใจพัฒนาองค์ความรู้ด้านเคมีเท่าไรนัก
สุดท้าย องค์ความรู้ด้านสีสังเคราะห์ทำให้นักเคมีชาวเยอรมันคนหนึ่งชื่อ Heinrich Caro ได้นำมาใช้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของเยอรมนี..
ด้วยความที่ประเทศเยอรมนีเพิ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 1871 ประเทศนี้ไม่มีอาณานิคมแถมยังปฏิวัติอุตสาหกรรมช้ากว่าอังกฤษ สิ่งเดียวที่จะทำให้เยอรมนีก้าวหน้าไปไกลกว่าคนอื่นได้ คือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะด้าน “เคมี
รัฐบาลได้สนับสนุนให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านเทคนิคหลายแห่งเน้นการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับภาคอุตสาหกรรมจึงเกิดงานวิจัยร่วมกันระหว่างนักวิชาการ กับนักธุรกิจในแวดวงอุตสาหกรรมงานวิจัยด้านเคมี จึงถูกนำไปใช้ในโลกธุรกิจได้ง่าย เมื่อธุรกิจสามารถทำกำไรได้ ก็ให้เงินกลับมาสนับสนุนงานวิจัยต่อไปเรื่อย ๆ
Heinrich Caro นักเคมีชาวเยอรมัน ผู้เคยทำงานให้กับโรงงานอังกฤษ เมื่อกลับมาถึงเยอรมนี เขาได้ทำงานร่วมกับ Friedrich Engelhorn เจ้าของเหมืองถ่านหินชาวเมืองมานน์ไฮม์ ในรัฐบาเดิน ทางตะวันตกของเยอรมนี องค์ความรู้เรื่องน้ำมันดินจากถ่านหิน ถูกพัฒนาจนสามารถผลิตในระดับโรงงาน
โรงงานสีสังเคราะห์ได้ถูกตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1865 มีชื่อว่า Badische Anilin und Soda Fabrik ซึ่งแปลว่า โรงงาน Aniline และ Soda แห่งรัฐบาเดนเมื่อนำตัวอักษรขึ้นต้นของชื่อโรงงานมารวมกัน จึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ BASF
BASF เป็นบริษัทที่คิดค้นกระบวนการสังเคราะห์สีน้ำเงินจากสาร Methylene Blue และสีแดงจากสาร Anthracene ซึ่งอยู่ในน้ำมันดิน
ไม่ไกลจากเมืองมนานไฮม์ Friedrich Bayer ผู้สืบทอดกิจการทอผ้าต่อจากครอบครัว ได้ขยายกิจการด้วยการซื้อโรงงานสีย้อมผ้าของนักเคมีชื่อว่า Carl Leverkus แล้วก่อตั้งโรงงานผลิตสีสังเคราะห์ในปี ค.ศ. 1863 โดยใช้ชื่อว่า Bayer
ทั้ง BASF และ Bayer ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำการผลิตสีสังเคราะห์ ไม่นานสีสังเคราะห์ของชาวเยอรมันก็เติมสีสันให้กับเสื้อผ้าของคนทั่วโลก
รู้หรือไม่ว่า 90% ของสีสังเคราะห์บนโลกในศตวรรษที่ 19 ล้วนผลิตมาจากโรงงานในเยอรมนี
นอกจากสีสังเคราะห์แล้ว สิ่งที่วงการเคมีของเยอรมนีได้เปลี่ยนแปลงโลกต่อมาก็คือ "ปุ๋ยเคมี"
ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช ประกอบไปด้วย N P K หรือธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ธาตุไนโตรเจน หรือ ธาตุ N ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตดี มีลำต้นและใบที่แข็งแรง
ทั้ง ๆ ที่อากาศมีส่วนประกอบของไนโตรเจนถึง 71% แต่พืชไม่สามารถดึงเอาธาตุไนโตรเจนมาจากอากาศได้ จึงต้องมีมาจากในดิน พืชจะเจริญเติบโตได้ดี ก็ต่อเมื่อดินมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ดินส่วนใหญ่บนโลกมีธาตุไนโตรเจนอยู่น้อยมาก สิ่งนี้เป็นปัญหามานานหลายพันปี นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักการเกษตรกรรม
แล้วการตั้งมหาวิทยาลัยเทคนิคของเยอรมนี ก็ได้สร้างนักวิทยาศาสตร์ 2 คน ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าให้กับวงการเกษตรกรรมของโลก
Fritz Haber และ Carl Bosch ทั้ง 2 คน สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคนิคเบอร์ลิน เป็นผู้คิดค้นกระบวนการ Haber-Bosch ในปี ค.ศ. 1910
กระบวนการนี้ คือนำก๊าซไนโตรเจน มาทำปฏิกิริยากับก๊าซไฮโดรเจน เมื่อทำตามอุณหภูมิ ความดัน และใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม ผลที่ได้คือแอมโมเนีย (NH3) ประโยชน์หลักของแอมโมเนียก็คือ "ปุ๋ยเคมี" ที่จะเติมธาตุไนโตรเจนลงไปในดิน
ไม่นาน บริษัท BASF ก็ได้นำกระบวนการนี้มาพัฒนาออกมาเป็นอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี โดยมี Carl Bosch ที่นำไปสู่ผลิตจำนวนมาก กลายเป็นส่วนสำคัญ
ในการพัฒนา ปุ๋ยเคมีพลิกโฉมวงการเกษตรกรรมอย่างมหาศาล เมื่อพืชผลเจริญเติบโต อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ประชากรโลกก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับรายได้ของ BASF
ส่วน Bayer นอกจากอุตสาหกรรมสีสังเคราะห์แล้ว องค์ความรู้ด้านเคมี ได้ถูกต่อยอดและพัฒนามาสู่อุตสาหกรรมยารักษาโรค โดยเฉพาะยาบรรเทาอาการปวดและอักเสบ Aspirin
Bayer ได้สังเคราะห์ยา Aspirin และนำมาพัฒนาให้สามารถผลิตได้ในระดับโรงงาน และจดเครื่องหมายการค้าในปี ค.ศ. 1899
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมเคมีของเยอรมันก้าวหน้ากว่าใคร ทั้งสีย้อมผ้า ปุ๋ยเคมี และยารักษาโรค ผลักดันให้เยอรมันก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของยุโรป
แต่แล้วความมั่งคั่งของชาติมหาอำนาจใหม่ ก็ขัดแย้งขัดขามหาอำนาจเก่า อย่างอังกฤษและฝรั่งเศสจากความขัดแย้งทางการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษีระหว่างกัน ผลที่ได้ตูกตาม นานปลายจนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อสงครามปะทุขึ้น เหล่าโรงงาน เคมี จึงต้องเพิ่มแผนการผลิตอาวุธสงคราม เพราะนอกจากปุ๋ยแล้ว สิ่งที่ แอมโมเนียสามารถทำได้ก็คือ “ระเบิด” แต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็จบตาลง ด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมนี
เยอรมนีต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามมหาศาล เศรษฐกิจของประเทศประสบภาวะเงินเฟ้อ
เพื่อความอยู่รอด บริษัทเคมีของเยอรมนี ซึ่งนำโดย BASF และ Bayer จึงเลิก แข่งขันแล้วหันมาจับมือกัน ควบรวมเป็นบริษัท IG Farben ในปี ค.ศ. 1925
เมื่อบริษัทเคมียักษ์ใหญ่มาควบรวมกัน IG Farben จึงกลายเป็นบริษัทเคมีที่ ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น และเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี
เมื่อเป็นบริษัทเคมียักษ์ใหญ่ IG Farben ก็เริ่มเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมือง ด้วยการบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่ง ที่มีชื่อว่า พรรคนาซี...
ในที่สุด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หัวหน้าพรรคนาซี ก็ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของเยอรมนีเพื่อตอบแทนที่เคยให้เงินช่วยเหลือ IG Farben จึงกลายเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ ป้อนให้กับกองทัพเยอรมนี แล้วนาซีเยอรมัน ก็พาโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับด้านมืดของ IG Farben ที่ถูกเผยออกมา..
ไม่ว่ากองทัพเยอรมนีจะบุกไปที่ประเทศไหน IG Farben ก็จะไปบุกยึดโรงงานเคมีของประเทศนั้น มีการตั้งโรงงานอยู่ใกล้กับค่ายกักกันชาวยิว นำชาวยิวมาทำงานในโรงงาน มีการทดลองยากับชาวยิว และนำยาฆ่าแมลง มาทดลองเพื่อใช้สังหารชาวยิวนับล้านคน แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี ค.ศ. 1945 ด้วยความพ่ายแพ้อีกครั้งของเยอรมนี ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามจึงเข้ายึดบริษัทและโรงงานทั้งหมดที่ IG Farben ไปยึดมา แตกบริษัท IG Farben เพื่อลดอิทธิพล และดึงตัวนักเคมีเก่ง ๆไปทำงานให้บริษัทประเทศตัวเอง
สุดท้าย IG Farben จึงแตกออกมาเป็น BASF และ Bayer ตามเดิม
แม้บริษัทเหล่านี้จะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และสูญเสียนักวิชาการเก่งๆไปมากมาย แต่ด้วยองค์ความรู้ด้านเคมีที่เคยมีอยู่ จึงยังคงมีการนำไปวิจัยและพัฒนาต่อยอดเป็นเคมีภัณฑ์และยารักษาโรคมากมาย
ปัจจุบัน BASF เป็นแบรนด์เคมีภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เป็นผู้จำหน่ายทั้งสารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง พลาสติก รวมไปถึงอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี ส่วน Bayer เป็นผู้จำหน่ายสารเคมี ยาฆ่าแมลง สินค้าเวชภัณฑ์ และยารักษาโรคชั้นนำของโลกเช่นกัน โดยเฉพาะยารักษาโรค Bayer คือบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เป็นผู้ผลิตยารักษาโรคติดเชื้อ Ciprofloxacin สำเร็จเป็นรายแรกของโลก.....Bayer
จากจุดเริ่มต้นของวิชาเคมี ถูกต่อยอดมาเป็นอุตสาหกรรมสีสังเคราะห์ ปุ๋ยเคมี ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ จนถึงไบโอเทคโนโลยี
รู้หรือไม่ว่า เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกยารักษาโรคอันดับ 1 ของโลก มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ชาวเยอรมันเป็นหนึ่งในผู้สร้างวิชาเคมี และผลผลิตของวิชาเคมี ก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายให้กับโลก แต่ไม่ใช่เพียงความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเคมีเท่านั้น องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง ยังได้สร้างสรรค์อุตสาหกรรมที่แบรนด์
เยอรมันมีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้านหนึ่งนั่นคือ “อุตสาหกรรมยานยนต์”








