หุ้นโรงพยาบาลเอกชนไทยขึ้นเกือบทุกปี ปัญหาค่ารักษาและประกันที่เริ่มเข้าถึงยากขึ้น
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด สะท้อนผ่านมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหรือการระบาดของโควิด-19 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังคงสร้างผลกำไรและมีอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม ความสําเร็จทางธุรกิจดังกล่าวมาพร้อมกับข้อกังวลสำคัญเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้ประชาชนทั่วไปและบริษัทประกันเริ่มประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพเอกชน
บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไทย ความสัมพันธ์ระหว่างการเข้าตลาดหลักทรัพย์กับการกำหนดราคาค่ารักษาพยาบาล ตลอดจนผลกระทบต่อระบบประกันสุขภาพและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ผลประกอบการหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไทย
หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนไทยถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากข้อมูลการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าในช่วงปี 2562-2567 ดัชนีกลุ่มบริการทางการแพทย์ (HELTH) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) สูงถึง 12.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของ SET Index ที่อยู่ที่ประมาณ 3.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 2024)
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า ณ สิ้นปี 2023 มูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) ของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าสูงถึง 4.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% จากปีก่อนหน้า แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว แต่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่ง (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2024)
โรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ซึ่งเป็นเจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) และโรงพยาบาลรามาธิบดี (RAM) มีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เฉลี่ยอยู่ที่ 12-18% ในช่วงปี 2021-2023 ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น (งบการเงินประจำปี BDMS, BH, RAM, 2021-2023)
จากการศึกษาของวารสารเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการจัดการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment: ROI) ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 15.7% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์โดยรวมที่ 7.3% (วารสารเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการจัดการ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2023)
รายได้โรงพยาบาลเอกชนไทย
แหล่งที่มาของรายได้โรงพยาบาลเอกชนไทยมีความหลากหลายและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้:
- กลุ่มผู้ป่วยทั่วไปที่จ่ายเงินเอง (Self-pay): ในปี 2023 สัดส่วนรายได้จากกลุ่มนี้อยู่ที่ประมาณ 30-35% ของรายได้รวม ลดลงจากเดิมที่เคยอยู่ที่ 40-45% ในช่วง 10 ปีก่อน สะท้อนถึงค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นทำให้ผู้ป่วยเลือกใช้สิทธิประกันมากขึ้น
- กลุ่มผู้ป่วยประกันสุขภาพ: มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิม 25-30% ในปี 2013 เป็น 40-45% ในปี 2023 โดยส่วนใหญ่เป็นประกันสุขภาพเอกชนและสวัสดิการพนักงาน
- กลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ (Medical Tourism): แม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่ในปี 2023 เริ่มฟื้นตัวและมีสัดส่วนประมาณ 20-25% ของรายได้รวม โดยกลุ่มลูกค้าหลักมาจากตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออก และยุโรป
- รายได้จากแผนกอื่นๆ: เช่น คลินิกความงาม ศูนย์ตรวจสุขภาพ และบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง มีสัดส่วนประมาณ 10-15% และมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
จากข้อมูลของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย รายได้รวมของโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าสูงถึง 2.3 แสนล้านบาทในปี 2023 เพิ่มขึ้น 10.5% จากปีก่อนหน้า อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2019-2023) อยู่ที่ 7.8% แม้จะมีช่วงการระบาดของโควิด-19 (สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทย, 2024)
งานวิจัยจากศูนย์วิจัยกรุงศรี พบว่า ราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ในช่วง 2018-2023 ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ที่ประมาณ 1.5-2.5% ต่อปี โดยค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งต้นทุนการนำเข้าเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ และความต้องการสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น (ศูนย์วิจัยกรุงศรี, 2024)
ผลกระทบจากการที่โรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์
การที่โรงพยาบาลเอกชนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สร้างผลกระทบหลายประการต่อระบบบริการสุขภาพในประเทศไทย:
1. แรงกดดันในการสร้างผลกำไร
เมื่อโรงพยาบาลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความคาดหวังจากนักลงทุนและผู้ถือหุ้นกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงาน งานวิจัยจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มราคาค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 8-12% ต่อปี เทียบกับโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีอัตราการปรับเพิ่มราคาที่ 5-7% ต่อปี (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2023)
2. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต้นทุน
การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ทำให้โรงพยาบาลเอกชนมีเงินทุนในการลงทุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูงและอุปกรณ์ที่ทันสมัย แต่ในขณะเดียวกัน ต้นทุนเหล่านี้ถูกผลักภาระให้กับผู้ใช้บริการ จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่า สัดส่วนค่าเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ในโครงสร้างต้นทุนของโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปี 2010 เป็น 32% ในปี 2023 (TDRI, 2024)
3. การเพิ่มขึ้นของบริการพรีเมียม
โรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสัดส่วนบริการพรีเมียมที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ศูนย์ความงาม คลินิกชะลอวัย และการตรวจสุขภาพเฉพาะทาง ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พบว่า ในปี 2023 ค่าบริการเหล่านี้มีราคาสูงกว่าบริการพื้นฐานถึง 3-5 เท่า และมักไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองของประกันสุขภาพทั่วไป (คปภ., 2024)
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ โกลด์แมน แซคส์ เคยกว้านซื้อหนี้คนไทยช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
4. ผลกระทบต่อธุรกิจประกันสุขภาพ
การเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจประกันสุขภาพ จากรายงานประจำปีของสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า อัตราการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้านสุขภาพ (Loss Ratio) เพิ่มขึ้นจาก 65% ในปี 2018 เป็น 82% ในปี 2023 ส่งผลให้บริษัทประกันต้องปรับเพิ่มเบี้ยประกันสุขภาพเฉลี่ย 15-20% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนเข้าถึงประกันสุขภาพได้ยากขึ้น (สมาคมประกันชีวิตไทย, 2024)
5. การแข่งขันด้านการลงทุนมากกว่าคุณภาพการรักษา
งานวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การแข่งขันระหว่างโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มมุ่งเน้นการลงทุนด้านอาคารสถานที่ เครื่องมือที่ทันสมัย และการตลาด มากกว่าการพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลหรือผลลัพธ์ทางคลินิก โดยสัดส่วนงบประมาณด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 3% ของรายได้ในปี 2015 เป็น 7% ในปี 2023 (คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2024)
ข้อดี-ข้อเสีย โรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์
ข้อดี
- การเข้าถึงแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่: การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ช่วยให้โรงพยาบาลเอกชนมีเงินทุนในการขยายกิจการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และลงทุนในเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลเอกชนไทยสามารถระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้มากกว่า 1.2 แสนล้านบาท (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2024)
- มาตรฐานการบริหารจัดการที่สูงขึ้น: บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Governance) มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลและการตรวจสอบ จากรายงานการกำกับดูแลกิจการของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) พบว่าบริษัทในกลุ่มโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้รับคะแนนเฉลี่ย 85 จาก 100 คะแนน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด (IOD, 2023)
- การพัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่าย: เงินทุนที่ได้จากตลาดหลักทรัพย์ช่วยให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถขยายเครือข่ายและพัฒนาศักยภาพในการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว รายงานจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า จำนวนสาขาของเครือโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 89 แห่งในปี 2015 เป็น 178 แห่งในปี 2023 (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2024)
- การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ทันสมัย: ผู้ป่วยได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและบริการคุณภาพสูง งานวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า โรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์มีอัตราการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ มาใช้เร็วกว่าโรงพยาบาลรัฐบาลเฉลี่ย 2-3 ปี (คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2023)
ข้อเสีย
- แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นในการทำกำไร: โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มีความจำเป็นต้องสร้างผลกำไรเพื่อตอบสนองความคาดหวังของผู้ถือหุ้น งานวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า โรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 15% ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 8% (สวรส., 2023)
- การเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาล: ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 2.1% ต่อปี (กระทรวงพาณิชย์, 2024)
- ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ: การเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงบริการได้ยากขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า สัดส่วนประชากรที่สามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชนโดยจ่ายเงินเองลดลงจาก 18% ในปี 2015 เป็น 12% ในปี 2023 (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2024)
- ผลกระทบต่อธุรกิจประกันสุขภาพ: การเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลส่งผลให้บริษัทประกันต้องปรับเพิ่มเบี้ยประกันสุขภาพ หรือลดความคุ้มครอง ข้อมูลจาก คปภ. พบว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เบี้ยประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-20% และมีการปรับลดความคุ้มครองในหลายกรณี (คปภ., 2024)
- การมุ่งเน้นเชิงพาณิชย์มากกว่าจริยธรรมวิชาชีพ: งานวิจัยจากแพทยสภาพบว่า มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการรักษาที่เกินความจำเป็น (Over-treatment) ในโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 35% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการส่งตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่อาจไม่จำเป็นทางการแพทย์ (แพทยสภา, 2023)
แนวทางการแก้ไขและควบคุมปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้น
การแก้ไขปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นความท้าทายที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภค จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล มีแนวทางการแก้ไขที่น่าพิจารณาดังนี้:
1. การกำกับดูแลราคาและมาตรฐานการบริการ
กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเพิ่มบทบาทในการกำกับดูแลราคาค่ารักษาพยาบาลและมาตรฐานการบริการของโรงพยาบาลเอกชน จากการศึกษาของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า ประเทศที่มีระบบการกำกับดูแลค่ารักษาพยาบาลที่เข้มแข็ง เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ (สวรส., 2024)
ในปี 2023 กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเกี่ยวกับการกำหนดราคากลางยาและเวชภัณฑ์ และการเปิดเผยข้อมูลราคาค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญ แต่ยังมีความจำเป็นต้องมีการบังคับใช้อย่างเข้มงวดและขยายขอบเขตให้ครอบคลุมบริการทางการแพทย์อื่นๆ (กระทรวงสาธารณสุข, 2023)
2. ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและความโปร่งใสด้านราคา
การสร้างแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาค่ารักษาพยาบาลระหว่างโรงพยาบาลต่างๆ เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม รายงานจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์สุขภาพพบว่า การเปิดเผยข้อมูลราคาค่ารักษาพยาบาลในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลได้ประมาณ 15-20% (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์สุขภาพ, 2023)
ในช่วงปลายปี 2023 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน "Health Price Check" ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาค่ารักษาพยาบาลระหว่างโรงพยาบาลเอกชนได้ แต่ข้อมูลยังมีข้อจำกัดและยังไม่ครอบคลุมทุกรายการและทุกโรงพยาบาล (สคบ., 2023)
3. พัฒนาระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพและการควบคุมต้นทุน
การปฏิรูประบบการชำระเงินค่ารักษาพยาบาลโดยเปลี่ยนจากการชำระตามบริการ (Fee-for-Service) เป็นการชำระตามกลุ่มโรค (Diagnosis-Related Groups: DRGs) สามารถช่วยควบคุมต้นทุนและลดการให้บริการที่เกินความจำเป็นได้ จากงานวิจัยของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า การใช้ระบบ DRGs ในโรงพยาบาลรัฐบาลช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อการรักษาลงประมาณ 12-15% (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2024)
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำลังศึกษาแนวทางในการขยายระบบ DRGs ให้ครอบคลุมการเบิกจ่ายของโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการภายใต้โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งอาจเป็นต้นแบบให้กับบริษัทประกันเอกชนในอนาคต (สปสช., 2024)
4. ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทประกันและโรงพยาบาล
การสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทประกันและโรงพยาบาลในรูปแบบเครือข่ายผู้ให้บริการ (Provider Network) สามารถช่วยกำหนดราคาค่ารักษาพยาบาลที่เหมาะสมและควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น จากรายงานของสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า การทำสัญญาตกลงราคาระหว่างบริษัทประกันและโรงพยาบาลช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลงได้ประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับราคาปกติ (สมาคมประกันชีวิตไทย, 2024)
ในปี 2023 มีบริษัทประกันชั้นนำหลายแห่งเริ่มพัฒนา "ประกันสุขภาพเครือข่าย" ที่มีเบี้ยประกันที่ถูกลง แต่จำกัดการใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลในเครือข่าย โดยมีผู้ทำประกันประเภทนี้เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในปี 2023 (คปภ., 2024)
5. การพัฒนาทางเลือกในการรับบริการทางการแพทย์
การส่งเสริมทางเลือกในการรับบริการทางการแพทย์นอกเหนือจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น คลินิกเอกชน คลินิกชุมชน หรือศูนย์บริการสาธารณสุข สามารถช่วยลดความแออัดและเพิ่มการแข่งขันในตลาด จากการศึกษาของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พบว่า ค่ารักษาพยาบาลในคลินิกเอกชนมีราคาถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชนประมาณ 30-50% สำหรับบริการพื้นฐาน (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, 2024)
กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มโครงการ "คลินิกคุณภาพ" เพื่อยกระดับมาตรฐานคลินิกเอกชนให้สามารถเป็นทางเลือกที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมมากขึ้น โดยในปี 2023 มีคลินิกเข้าร่วมโครงการกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ (กระทรวงสาธารณสุข, 2024)
6. การพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้
การพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่หลากหลายและเข้าถึงได้เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ประชาชนสามารถจัดการความเสี่ยงด้านค่ารักษาพยาบาล จากรายงานของสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า ในปี 2023 มีผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพเพียง 32% ของประชากรไทย ซึ่งถือว่ายังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว (สมาคมประกันชีวิตไทย, 2024)
ในช่วงปลายปี 2023 คปภ. ได้ออกประกาศเกี่ยวกับ "กรมธรรม์ประกันสุขภาพมาตรฐาน" ที่มีความคุ้มครองพื้นฐานและราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงประกันสุขภาพของประชาชนได้อีกประมาณ 15-20% ภายในปี 2025 (คปภ., 2024)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับหุ้นโรงพยาบาลเอกชนและค่ารักษาพยาบาล
1. ทำไมหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไทยถึงเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว?
หุ้นโรงพยาบาลเอกชนเติบโตได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งความต้องการบริการทางการแพทย์ที่มีอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร การเติบโตของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ การขยายตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์มากขึ้น นอกจากนี้ โรงพยาบาลเอกชนยังมีความสามารถในการปรับตัวและบริหารต้นทุนได้ดี ทำให้ยังคงรักษาอัตรากำไรไว้ได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 2024)
2. การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของโรงพยาบาลเอกชนส่งผลต่อค่ารักษาพยาบาลอย่างไร?
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้โรงพยาบาลเอกชนต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้ถือหุ้นในการสร้างผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่แรงกดดันในการเพิ่มราคาค่ารักษาพยาบาล จากการศึกษาพบว่า โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มราคาค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ย 8-12% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีอัตราการปรับเพิ่มราคาที่ 5-7% ต่อปี (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2023)
3. ทำไมค่าเบี้ยประกันสุขภาพจึงปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา?
ค่าเบี้ยประกันสุขภาพปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทประกันมีภาระค่าสินไหมทดแทนที่สูงขึ้น จากข้อมูลของ คปภ. พบว่า อัตราการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้านสุขภาพ (Loss Ratio) เพิ่มขึ้นจาก 65% ในปี 2018 เป็น 82% ในปี 2023 ทำให้บริษัทประกันต้องปรับเพิ่มเบี้ยประกันเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุและการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลโดยรวมสูงขึ้น (คปภ., 2024)
4. มีวิธีเลือกประกันสุขภาพอย่างไรในสถานการณ์ที่ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น?
ในการเลือกประกันสุขภาพ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
- เลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ ไม่จำเป็นต้องเลือกวงเงินคุ้มครองสูงสุดเสมอไป
- พิจารณาประกันที่มีเครือข่ายโรงพยาบาลที่ให้บริการ ซึ่งมักมีค่าเบี้ยประกันที่ถูกลง
- ตรวจสอบเงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เช่น การจ่ายตามจริง หรือ การจ่ายเป็นเงินชดเชยรายวัน
- พิจารณาความคุ้มครองระยะยาวและการต่ออายุกรมธรรม์
- เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายบริษัทประกันก่อนตัดสินใจ
จากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านประกันสุขภาพ การเลือกประกันที่มีความคุ้มครองพอดีกับความต้องการจะช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ประมาณ 15-30% (สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย, 2024)
5. การกำกับดูแลราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนของประเทศไทยเป็นอย่างไร?
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชน แต่มีมาตรการกำกับดูแลบางส่วน เช่น การกำหนดให้โรงพยาบาลต้องแสดงราคายาและค่าบริการอย่างชัดเจน และการออกประกาศเกี่ยวกับราคากลางยาและเวชภัณฑ์ ในช่วงปลายปี 2023 กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่..) ที่จะเพิ่มอำนาจในการกำกับดูแลราคาค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (กระทรวงสาธารณสุข, 2024)
6. การลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลเอกชนยังน่าสนใจหรือไม่ในสถานการณ์ปัจจุบัน?
หุ้นโรงพยาบาลเอกชนยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวหลายประการ เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายเริ่มมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของมาตรการกำกับดูแลราคาค่ารักษาพยาบาล และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ควรพิจารณาความเสี่ยงและผลตอบแทนอย่างรอบคอบ และเลือกลงทุนในโรงพยาบาลที่มีการบริหารจัดการที่ดีและมีกลยุทธ์การเติบโตที่ยั่งยืน (บริษัทหลักทรัพย์ภัทร, 2024)
7. แนวโน้มของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและประกันสุขภาพในอนาคตเป็นอย่างไร?
แนวโน้มของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและประกันสุขภาพในอนาคตมีหลายประการ:
- การขยายตัวของโรงพยาบาลขนาดกลางและคลินิกเฉพาะทางที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่า
- การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี Digital Health และ Telemedicine ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มการเข้าถึง
- การพัฒนารูปแบบประกันสุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ประกันจ่ายตามการใช้จริง (Pay-as-you-go) และประกันเครือข่าย
- การเพิ่มขึ้นของมาตรการกำกับดูแลราคาค่ารักษาพยาบาลจากภาครัฐ
- การรวมตัวและควบรวมกิจการระหว่างโรงพยาบาลขนาดเล็กเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและลดต้นทุน
จากการคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกรุงศรี ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยจะยังคงเติบโตที่ประมาณ 5-7% ต่อปีในช่วง 2024-2026 แต่อาจมีการปรับตัวในด้านกลยุทธ์และรูปแบบธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านราคาและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น (ศูนย์วิจัยกรุงศรี, 2024)
8. มีทางเลือกอื่นนอกจากโรงพยาบาลเอกชนที่มีค่ารักษาพยาบาลแพงหรือไม่?
มีทางเลือกอื่นสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงค่ารักษาพยาบาลที่สูงของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ได้แก่:
- คลินิกเอกชนคุณภาพ ที่มีราคาถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน 30-50% สำหรับบริการพื้นฐาน
- โรงพยาบาลรัฐบาลในโครงการพิเศษ เช่น คลินิกพิเศษนอกเวลา ที่มีความสะดวกมากขึ้นแต่ราคายังต่ำกว่าโรงพยาบาลเอกชนมาก
- ศูนย์บริการสาธารณสุขและคลินิกชุมชนอบอุ่น ที่ให้บริการรักษาโรคพื้นฐานและคัดกรองเบื้องต้น
- โรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางที่เน้นตลาดระดับกลาง ซึ่งมีราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า
- บริการสุขภาพทางไกล (Telemedicine) ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลประมาณ 40-60%
จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2023 พบว่า ผู้ที่เคยใช้บริการทางเลือกเหล่านี้มีความพึงพอใจในระดับดีถึงดีมากถึง 78% (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2024)
สรุปบทความ หุ้นโรงพยาบาลเอกชนไทยขึ้นเกือบทุกปี ปัญหาค่ารักษาและประกันที่เริ่มเข้าถึงยากขึ้น
การเติบโตอย่างต่อเนื่องของหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไทยสะท้อนถึงความสำเร็จทางธุรกิจและความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวมาพร้อมกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาพยาบาลที่ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปและบริษัทประกันเริ่มประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพเอกชน
การเข้าตลาดหลักทรัพย์ของโรงพยาบาลเอกชนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในแง่ข้อดี การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ช่วยให้โรงพยาบาลสามารถเข้าถึงเงินทุนขนาดใหญ่ มีมาตรฐานการบริหารจัดการที่สูงขึ้น และพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย แต่ในขณะเดียวกัน แรงกดดันจากผู้ถือหุ้นในการทำกำไรก็ส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันสุขภาพ
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการกำกับดูแลราคาและมาตรฐานการบริการจากภาครัฐ การส่งเสริมความโปร่งใสด้านราคา การพัฒนาระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทประกันและโรงพยาบาล การพัฒนาทางเลือกในการรับบริการทางการแพทย์ และการพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่เข้าถึงได้มากขึ้น
ในอนาคต แนวโน้มของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและประกันสุขภาพจะมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านราคาและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เช่น การขยายตัวของโรงพยาบาลขนาดกลางและคลินิกเฉพาะทาง การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยี Digital Health และ Telemedicine และการพัฒนารูปแบบประกันสุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น
การติดตามและเข้าใจพลวัตของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและตลาดหลักทรัพย์จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภค ผู้ลงทุน บริษัทประกัน และผู้กำหนดนโยบาย สามารถปรับตัวและหาทางออกร่วมกันเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่มีคุณภาพ เข้าถึงได้ และยั่งยืนสำหรับประชาชนไทย
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ ประเทศที่มีการเก็บค่าถุงพลาสติกร้านค้ามีประเทศอะไรบ้าง? อัตราอยู่ที่เท่าไร?✪ รู้หรือไม่? ปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสมีพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางการอยู่
✪ คอนโดมิเนียม กับเพนท์เฮ้าส์ ต่างกันยังไง?
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ









