ทำไมทอร์นาโดเกิดแค่ในแถบอเมริกาเท่านั้น?
พายุทอร์นาโด (Tornado) เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดบนโลก ด้วยพลังการทำลายล้างมหาศาลและความรุนแรงที่คาดเดาได้ยาก ภาพของลำพายุหมุนมรณะนี้มักถูกเชื่อมโยงกับพื้นที่ในแถบสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รู้จักกันในชื่อ "Tornado Alley" แต่ความเข้าใจที่ว่าทอร์นาโดเกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับทอร์นาโดอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุการเกิด การกระจายตัวทั่วโลก ไปจนถึงระบบการพยากรณ์เตือนภัยล่วงหน้า
ทอร์นาโดเกิดจากอะไร?
พายุทอร์นาโดเป็นปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาที่เกิดจากการรวมตัวของปัจจัยทางสภาพอากาศที่ซับซ้อนหลายประการ โดยทั่วไปแล้ว ทอร์นาโดเกิดจากการพัฒนาของพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงที่เรียกว่า "supercell thunderstorms" หรือเซลล์พายุฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์
กลไกการเกิดทอร์นาโด
การก่อตัวของทอร์นาโดเริ่มต้นจากปัจจัยสำคัญ ดังนี้:
- การเผชิญหน้าของมวลอากาศที่แตกต่างกัน: เมื่อมวลอากาศเย็นและแห้งปะทะกับมวลอากาศร้อนและชื้น จะสร้างสภาวะไม่เสถียรในชั้นบรรยากาศ (Brooks et al., 2003)
- การเปลี่ยนแปลงทิศทางและความเร็วลมตามความสูง (Wind Shear): ลมที่มีทิศทางและความเร็วเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูงของชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดการหมุนในแนวนอน (Markowski & Richardson, 2014)
- การยกตัวของมวลอากาศร้อน: อากาศร้อนจากพื้นดินลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เกิดเป็นกระแสอากาศขึ้น (updraft) อย่างรุนแรง
- การเปลี่ยนทิศทางการหมุน: การหมุนในแนวนอนถูกเปลี่ยนเป็นการหมุนในแนวตั้ง โดยกระแสอากาศขึ้น ทำให้เกิดการหมุนวนของอากาศที่มองเห็นได้เป็นลำพายุ (Doswell & Burgess, 1993)
ตามการศึกษาของ National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA, 2023) พบว่าความเร็วลมในพายุทอร์นาโดสามารถเร็วถึงกว่า 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในกรณีรุนแรงที่สุด ทำให้มีพลังทำลายล้างอย่างมหาศาล
มาตรวัดความรุนแรงของทอร์นาโดมาตรวัดที่ใช้ประเมินความรุนแรงของทอร์นาโดที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลคือ Enhanced Fujita Scale (EF Scale) ซึ่งพัฒนาจาก Fujita Scale ดั้งเดิม แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ EF0 ถึง EF5:
ระดับ | ความเร็วลม (กม./ชม.) | ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น |
---|---|---|
EF0 | 105-137 | ต้นไม้เล็กหัก หลังคาเสียหายเล็กน้อย |
EF1 | 138-177 | หลังคาเสียหายมาก ตัวบ้านเคลื่อน |
EF2 | 178-217 | หลังคาถูกพัดทั้งหลัง ผนังพัง บ้านเสียหายหนัก |
EF3 | 218-265 | อาคารพังทั้งหลัง รถถูกยกและปลิวไปไกล |
EF4 | 266-322 | บ้านพังราบเป็นหน้ากลอง สิ่งของหนักถูกพัดไปไกล |
EF5 | >322 | อาคารใหญ่พังเสียหายอย่างหนัก โครงสร้างถูกพัดออกจากฐานราก |
(ที่มา: Storm Prediction Center, NOAA, 2024)
ทำไมทอร์นาโดเกิดแค่ในแถบอเมริกาเท่านั้น?
ความเข้าใจที่ว่าทอร์นาโดเกิดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้นเป็นความเข้าใจผิด แต่เป็นเรื่องจริงที่สหรัฐอเมริกาประสบกับทอร์นาโดมากกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
สหรัฐอเมริกา: พื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเกิดทอร์นาโด
ตามข้อมูลจาก National Centers for Environmental Information (NCEI, 2023) สหรัฐอเมริกามีรายงานทอร์นาโดประมาณ 1,200 ลูกต่อปีโดยเฉลี่ย คิดเป็นมากกว่า 75% ของทอร์นาโดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้สหรัฐฯ เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์ทอร์นาโดที่สมบูรณ์แบบ ได้แก่:
- ภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์: ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของอเมริกาเหนือที่ไม่มีแนวเขาในแนวตะวันออก-ตะวันตกที่จะกั้นมวลอากาศ ทำให้มวลอากาศเย็นจากแคนาดาและอาร์กติกสามารถเคลื่อนตัวลงใต้ ขณะที่มวลอากาศอุ่นชื้นจากอ่าวเม็กซิโกสามารถแพร่กระจายขึ้นเหนือได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง (Bluestein, 2013)
- Tornado Alley: พื้นที่ในภาคกลางของสหรัฐอเมริกาที่ครอบคลุมรัฐเท็กซัส โอคลาโฮมา แคนซัส เนบราสกา และไอโอวา เป็นพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมที่สุดสำหรับการเกิดทอร์นาโด (Gagan et al., 2010)
- การปะทะกันของมวลอากาศ: ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน มวลอากาศเย็นแห้งจากแคนาดาและมวลอากาศร้อนชื้นจากอ่าวเม็กซิโกมักปะทะกันในภาคกลางของสหรัฐฯ สร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการเกิดพายุฟ้าคะนองรุนแรงและทอร์นาโด (Trapp et al., 2007)
- พื้นที่ราบโล่ง: พื้นที่ราบกว้างใหญ่ในภูมิภาค Great Plains ช่วยให้มวลอากาศเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระและรวดเร็ว ไม่มีภูเขาหรือลักษณะภูมิประเทศอื่นที่จะรบกวนการก่อตัวของพายุ (Weaver et al., 2012)
การศึกษาโดย Brooks และคณะ (2003) ได้วิเคราะห์ข้อมูลทอร์นาโดทั่วโลกและยืนยันว่าการรวมตัวของปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสภาพอากาศในสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการเกิดทอร์นาโดมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
ทอร์นาโดเกิดในประเทศไหนบ้าง?
แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่มีรายงานการเกิดทอร์นาโดมากที่สุด แต่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดพายุฟ้าคะนองรุนแรง
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ ยาปฏิชีวนะ มรดกจากสงครามโลกที่มีค่ากับมวลมนุษยชาติ
การกระจายตัวของทอร์นาโดทั่วโลก
การศึกษาโดย Goliger และ Milford (1998) และ International Tornado Database (2022) แสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของทอร์นาโดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก:
- อเมริกาเหนือ:
- แคนาดา: มีรายงานทอร์นาโดประมาณ 80-100 ลูกต่อปี โดยเฉพาะในจังหวัดแอลเบอร์ตา แมนิโทบา และออนแทรีโอ
- เม็กซิโก: แม้จะมีรายงานน้อยกว่า แต่พบทอร์นาโดได้ในพื้นที่ตอนเหนือ
- ยุโรป:
- สหราชอาณาจักร: มีความหนาแน่นของทอร์นาโดต่อพื้นที่สูงที่สุดในยุโรป แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีความรุนแรงน้อย (Meaden et al., 2007)
- เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, และ สเปน: มีรายงานทอร์นาโดเป็นประจำ แม้จะมีความถี่น้อยกว่าในสหรัฐฯ
- รัสเซีย: มีทอร์นาโดเกิดขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ทางตะวันตกและใจกลางประเทศ
- เอเชีย:
- ออสเตรเลีย: มีทอร์นาโดเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะในรัฐนิวเซาท์เวลส์และควีนส์แลนด์
- อเมริกาใต้:
- อาร์เจนตินา, บราซิล, และ อุรุกวัย: มีพื้นที่ที่เรียกว่า "Tornado Alley of South America" ซึ่งครอบคลุมบริเวณที่ราบปัมปัสในอาร์เจนตินา ตอนใต้ของบราซิล และอุรุกวัย (Brooks & Doswell, 2001)
- แอฟริกา: มีรายงานทอร์นาโดในแอฟริกาใต้ และประเทศในแอฟริกาตะวันออก แม้จะมีการบันทึกข้อมูลที่จำกัด
ตามการศึกษาของ Taszarek และคณะ (2020) สัดส่วนของทอร์นาโดทั่วโลกโดยประมาณคือ:
- สหรัฐอเมริกา: 75-80%
- ยุโรป: 5-7%
- ออสเตรเลีย: 3-5%
- แคนาดา: 3-4%
- เอเชีย: 3-4%
- อเมริกาใต้: 2-3%
- แอฟริกา: 1-2%
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงทั้งหมด เนื่องจากปัญหาการรายงานที่ไม่ครบถ้วนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่อาจไม่มีระบบติดตามและบันทึกข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
ทอร์นาโดพยากรณ์ล่วงหน้าได้เร็วขนาดไหน?
การพยากรณ์ทอร์นาโดเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับนักอุตุนิยมวิทยา เนื่องจากธรรมชาติที่คาดเดาได้ยากและการก่อตัวที่รวดเร็วของปรากฏการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการพยากรณ์ได้พัฒนาอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ระบบการพยากรณ์และเตือนภัยทอร์นาโด
ตามข้อมูลจาก National Weather Service (NWS, 2024) ระบบการพยากรณ์และเตือนภัยทอร์นาโดในปัจจุบันประกอบด้วย:
- การพยากรณ์สภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดทอร์นาโด (Outlook):
- สามารถออกได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน โดย Storm Prediction Center (SPC)
- ระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดพายุฟ้าคะนองรุนแรงและทอร์นาโด
- การเฝ้าระวังทอร์นาโด (Tornado Watch):
- ออกล่วงหน้าประมาณ 4-6 ชั่วโมงก่อนเกิดเหตุที่อาจเกิดขึ้น
- ครอบคลุมพื้นที่กว้าง (โดยเฉลี่ยประมาณ 25,000 ตารางกิโลเมตร)
- แจ้งให้ประชาชนทราบว่าสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเกิดทอร์นาโด
- การเตือนภัยทอร์นาโด (Tornado Warning):
- ออกเมื่อตรวจพบทอร์นาโดโดยเรดาร์หรือมีการรายงานจากผู้สังเกตการณ์
- ให้เวลาเตรียมตัวประมาณ 13 นาทีโดยเฉลี่ย (เพิ่มขึ้นจาก 5 นาทีในทศวรรษ 1990)
- ครอบคลุมพื้นที่เฉพาะเจาะจงในเส้นทางที่คาดว่าทอร์นาโดจะเคลื่อนตัวผ่าน
เทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจจับและพยากรณ์ทอร์นาโด
การพัฒนาเทคโนโลยีได้ส่งผลให้การพยากรณ์ทอร์นาโดมีความแม่นยำมากขึ้น (Wurman et al., 2012; Stensrud et al., 2013):
- เรดาร์ดอปเพลอร์ (Doppler Radar): ตรวจจับการหมุนในเมฆพายุฟ้าคะนอง ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อตัวของทอร์นาโด
- เรดาร์แบบ Dual-Polarization ช่วยให้นักอุตุนิยมวิทยาเห็นรูปร่างและขนาดของวัตถุในอากาศได้ดีขึ้น
- แบบจำลองคอมพิวเตอร์ขั้นสูง: วิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศจำนวนมากเพื่อระบุรูปแบบที่อาจนำไปสู่การเกิดทอร์นาโด
- เครือข่ายตรวจวัดสภาพอากาศ: สถานีตรวจวัดภาคพื้นดินและบอลลูนอากาศช่วยเก็บข้อมูลสภาพอากาศในเวลาจริง
- เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning): ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากและระบุรูปแบบที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น (McGovern et al., 2019)
- โครงการ VORTEX (Verification of the Origins of Rotation in Tornadoes Experiment): การศึกษาภาคสนามที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจการก่อตัวของทอร์นาโดได้ดีขึ้น
แม้จะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่การพยากรณ์ทอร์นาโดยังคงมีข้อจำกัด:
- การเกิดทอร์นาโดอย่างฉับพลันและมีขนาดเล็ก (บางครั้งเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงไม่กี่ร้อยเมตร) ทำให้ยากต่อการพยากรณ์แม่นยำ
- อัตราการเตือนภัยเท็จ (False Alarm Ratio) สำหรับการเตือนภัยทอร์นาโดยังคงสูงถึงประมาณ 70% (Brotzge et al., 2011)
- ทอร์นาโดขนาดเล็กหรือที่เกิดขึ้นฉับพลันอาจไม่ถูกตรวจพบด้วยระบบเรดาร์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การวิจัยล่าสุดโดย NOAA (2023) ชี้ให้เห็นว่าเวลาเตือนภัยล่วงหน้าเฉลี่ยสำหรับทอร์นาโดได้เพิ่มขึ้นจาก 5 นาทีในช่วงปี 1990 เป็นประมาณ 13-14 นาทีในปัจจุบัน และอัตราการตรวจจับทอร์นาโดได้เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็นมากกว่า 80% ในช่วงเวลาเดียวกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับทอร์นาโด
1. ทอร์นาโดขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกได้คือขนาดใด?
ทอร์นาโดที่ใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกได้คือ ทอร์นาโด El Reno ที่เกิดขึ้นในรัฐโอคลาโฮมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2013 มีความกว้างสูงสุดถึง 4.2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึก ทอร์นาโดนี้มีความรุนแรงระดับ EF5 ด้วยความเร็วลมสูงถึง 475 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน รวมถึงนักล่าพายุ 3 คน (NOAA Storm Prediction Center, 2020)
2. ประเทศไทยเคยเกิดทอร์นาโดหรือไม่?
ประเทศไทยมีรายงานการเกิดทอร์นาโดน้อยมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เคยเกิดเลย กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยได้รายงานเหตุการณ์ที่คล้ายทอร์นาโดขนาดเล็ก (waterspout หรือ land spout) ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนฤดูกาล สาเหตุที่ประเทศไทยไม่ค่อยเกิดทอร์นาโดขนาดใหญ่เนื่องจากไม่มีสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดพายุซูเปอร์เซลล์ที่รุนแรง (กรมอุตุนิยมวิทยา, 2023)
3. อันตรายที่เกิดจากทอร์นาโดนอกจากลมแรงมีอะไรบ้าง?
นอกจากความเสียหายโดยตรงจากลมแรง ทอร์นาโดยังก่อให้เกิดอันตรายหลายประการ:
- เศษวัสดุปลิวว่อน: วัตถุที่ปลิวไปตามลมสามารถกลายเป็น "กระสุน" ที่อันตรายถึงชีวิต
- ฟ้าผ่า: พายุที่ก่อให้เกิดทอร์นาโดมักมาพร้อมกับฟ้าผ่ารุนแรง
- น้ำท่วมฉับพลัน: พายุฝนฟ้าคะนองที่มาพร้อมกับทอร์นาโดอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
- ความดันอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: ภายในลำทอร์นาโดมีความดันอากาศต่ำมาก ทำให้อาคารอาจระเบิดออกจากความแตกต่างของความดันภายในและภายนอก (FEMA, 2021)
4. ทำไมเราไม่ควรเปิดหน้าต่างเมื่อเกิดทอร์นาโด?
ในอดีตมีความเชื่อว่าการเปิดหน้าต่างจะช่วยปรับสมดุลความดันอากาศและป้องกันบ้านระเบิด แต่การศึกษาวิจัยล่าสุดพบว่าเป็นความเข้าใจผิด การเปิดหน้าต่างเป็นเพียงการเสียเวลาที่ควรใช้ในการหาที่หลบภัย และยังเพิ่มความเสี่ยงจากเศษวัสดุที่จะพุ่งเข้ามาในบ้าน นอกจากนี้ โครงสร้างอาคารสมัยใหม่มีช่องระบายอากาศอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความแตกต่างของความดันอากาศ (National Weather Service, 2022)
5. ฤดูกาลใดที่มีโอกาสเกิดทอร์นาโดมากที่สุด?
ในสหรัฐอเมริกา ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-มิถุนายน) มีรายงานการเกิดทอร์นาโดสูงที่สุด โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม แต่ความจริงแล้ว ทอร์นาโดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ในภูมิภาคทางใต้ของสหรัฐฯ มักมี "ฤดูทอร์นาโดที่สอง" ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักร พบทอร์นาโดได้บ่อยที่สุดในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว (NOAA, 2023)
6. ทอร์นาโดสามารถเกิดบนน้ำหรือในทะเลได้หรือไม่?
ปรากฏการณ์ที่คล้ายทอร์นาโดสามารถเกิดบนผิวน้ำได้ เรียกว่า "waterspout" (พายุงวงช้างน้ำ) ซึ่งมี 2 ประเภท: แบบที่เกิดจากพายุฟ้าคะนอง (tornadic waterspout) ซึ่งมีลักษณะเหมือนทอร์นาโดแต่เกิดเหนือน้ำ และแบบที่เกิดในสภาพอากาศปกติ (fair-weather waterspout) ซึ่งมักอ่อนแรงกว่าและเกิดจากกระแสอากาศร้อนที่ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ (American Meteorological Society, 2018)
7. สัตว์สามารถรับรู้การมาของทอร์นาโดล่วงหน้าได้จริงหรือไม่?
มีหลักฐานเชิงประจักษ์และการศึกษาบางส่วนที่ชี้ให้เห็นว่าสัตว์อาจรับรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่นำไปสู่การเกิดทอร์นาโดได้ สัตว์มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ เสียงความถี่ต่ำ และการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์อาจไม่สังเกตเห็น อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าสัตว์สามารถรับรู้ทอร์นาโดได้โดยเฉพาะ (Tracton, 2011)
8. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลต่อความถี่และความรุนแรงของทอร์นาโดหรือไม่?
การศึกษาล่าสุดโดย Diffenbaugh et al. (2017) และ Tippett et al. (2016) พบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจไม่ได้เพิ่มจำนวนทอร์นาโดโดยรวม แต่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ โดยพบว่ามีแนวโน้มการเกิดทอร์นาโดเป็นกลุ่มหรือ "outbreak" มากขึ้น และพื้นที่เสี่ยงอาจเคลื่อนตัวไปทางตะวันออกของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ฤดูทอร์นาโดอาจเริ่มเร็วขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังต้องการข้อมูลระยะยาวเพิ่มเติมเพื่อสรุปผลกระทบที่ชัดเจน
สรุปบทความ
ทอร์นาโดเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ทรงพลังและน่าทึ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาที่ซับซ้อน ประกอบด้วยการปะทะกันของมวลอากาศที่แตกต่างกัน การเปลี่ยนแปลงทิศทางและความเร็วลมตามความสูง และการยกตัวของมวลอากาศร้อน
จากการศึกษาข้อมูลเชิงลึก พบว่าความเข้าใจที่ว่าทอร์นาโดเกิดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นพื้นที่ที่มีรายงานการเกิดทอร์นาโดสูงถึง 75-80% ของทอร์นาโดทั่วโลก เนื่องจากมีสภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศที่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ Tornado Alley แต่ในความเป็นจริง ทอร์นาโดสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงยุโรป (โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร), เอเชีย (ญี่ปุ่น จีน บังกลาเทศ), ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ (อาร์เจนตินา บราซิล)
เทคโนโลยีการพยากรณ์และเตือนภัยทอร์นาโดได้พัฒนาอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จากเดิมที่ให้เวลาเตือนภัยเพียง 5 นาที เพิ่มเป็น 13-14 นาทีในปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าของเรดาร์ดอปเพลอร์ แบบจำลองคอมพิวเตอร์ขั้นสูง และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม การพยากรณ์ทอร์นาโดยังคงมีความท้าทาย เนื่องจากลักษณะที่คาดเดายากและการก่อตัวที่รวดเร็วของปรากฏการณ์นี้
ในแง่ของความรุนแรง ทอร์นาโดที่ใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกได้คือทอร์นาโด El Reno ในปี 2013 ที่มีความกว้างถึง 4.2 กิโลเมตร และความเร็วลมสูงถึง 475 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงพลังการทำลายล้างมหาศาลของปรากฏการณ์นี้
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับทอร์นาโดได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งในแง่ของกลไกการเกิด การกระจายตัวทั่วโลก และความก้าวหน้าในการพยากรณ์เตือนภัย ความรู้เหล่านี้ไม่เพียงแต่น่าสนใจในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงอีกด้วย
บทความที่น่าสนใจ by News Daily TH
✪ เจาะระบบเตือนภัย J-ALERT ระบบเตือนภัยที่ทรงพลังที่สุดในโลก✪ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการพยากรณ์แผ่นดินไหวในปัจจุบัน
✪ กระเป๋านักเรียนญี่ปุ่น รันโดเซรุ กระเป๋าที่ไม่ใช่เป็นแค่กระเป๋า
หากอ่านแล้วบทความมีประโยชน์ กดโหวต ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ ให้ด้วยนะคะ


















