1 ชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำอัดลม จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราบ้าง ดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 กระป๋องเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อน 90%
หลังจากดื่มน้ำอัดลม จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเราบ้าง
การวิจัยของ Niraj Naik เภสัชกรเจ้าของบล็อก The Renegade Pharmacist ได้ออกมาตีแผ่ถึงปฏิกิริยาของร่างกายในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ หลังจากที่เราดื่มน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง
- 10 นาทีแรก น้ำตาลจำนวน 10 ช้อนโต๊ะ จะถูกซึมเข้าระบบร่างกาย (ปกติ ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกินวันละ 10 ช้อนโต๊ะ ทางหน่วยงานบริการด้านสุขภาพ (NHK) ได้ออกมาปรับปริมาณน้ำตาล เหลือเพียง 5 ช้อนโต๊ะ) ความหวานที่มากเกินไป จะไม่ทำให้เราอาเจียนออกในทันที แต่เพราะมีกรดฟอสฟอริกลดทอนความหวาน ทำให้เราสามารถดื่มต่อได้
- นาทีที่ 20 น้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูงขึ้น ร่างกายรีบปล่อยอินซูลินออกมา ตับจะตอบสนองด้วยการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน
- นาทีที่ 40 คาเฟอีนจะถูกดูดซึมเสร็จสมบูรณ์ ม่านตาดำของเราจะขยาย ความดันเลือดสูงขึ้น ส่วนตับก็เร่งน้ำตาลไปยังเส้นเลือดมากขึ้นอีก ตุ่มรับอะดีโนซีนในสมองขณะนี้จะถูกบล็อกไม่ให้เราง่วงนอน
- นาทีที่ 45 สมองจะสั่งการให้ร่างกายเร่งสร้างโดพามีน เพื่อกระตุ้นให้เรารู้สึกมีความสุข
- นาทีที่ 60 หรือ ครบ 1 ชั่วโมง กรดฟอสฟอริกจะรวมตัวกับแคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสีที่อยู่ในลำไส้ ซึ่งจะก่อให้เกิดกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลในปริมาณสูง และสารเทียมเพิ่มความหวานจะทำให้มีการปัสสาวะขับแคลเซียมออกไป คุณสมบัติของคาเฟอีนจะทำให้เราปัสสาวะในระหว่างนี้ แน่นอนว่าเราได้สูญเสียแคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีที่มีประโยชน์กับกระดูก รวมถึง โซเดียม อิเล็กตรอไลด์ และน้ำด้วย
หลังจากที่กระบวนการทุกอย่างสิ้นสุดลง ร่างกายจะเกิดอาการ “Sugar Crash” ทำให้เรารู้สึกอ่อนเพลียหลังจากที่บริโภคน้ำตาลเป็นจำนวนมาก และทำให้เรารู้สึกอยากดื่มน้ำอัดลมเพิ่มขึ้นอีก
Niraj เจ้าของผลงานการทดลองนี้ กล่าวว่า “น้ำอัดลมไม่ใช่แค่มีน้ำตาลฟรุกโตสคอร์นไซรัปที่สูงมาก แต่ยังมีเกลือและคาเฟอีนรวมอยู่ด้วย ถ้าดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้ความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคอ้วน"
ทางโฆษกของน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง กล่าวว่า “อินโฟกราฟฟิกที่ทำขึ้นมานั้น ค่อนข้างหลอกหลวง สร้างความหวาดกลัว และเป็นผลงานขยะทางวิทยศาสตร์ เราผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมให้กับผู้บริโภคหลายล้านคนทั่วโลก และยังมีโปรดักส์ที่ห่วงใยสุขภาพต่อผู้บริโภคด้วย อาทิ เครื่องดื่มสูตรน้ำตาลน้อย เครื่องดิ่มไดเอ็ต เป็นต้น”
ดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 กระป๋องเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อน 90%
เอเจนซีส์ เตือนดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 กระป๋อง กาแฟ ชาใส่น้ำตาล หรืออาหารรสหวาน เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับอ่อนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
แถลงการณ์ของสถาบันคาโรลินสกาในสวีเดน ระบุว่า เป็นครั้งแรกที่นักวิจัย พบว่า การบริโภคอาหาร และเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ส่งผลต่อโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ซึ่งเป็นมะเร็งที่ร้ายแรง และตรวจพบยากที่สุดชนิดหนึ่ง
เกือบทั้งหมดของผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน 7,000 คนในแต่ละปีเสียชีวิตหลังตรวจพบเนื้อร้าย ส่วนหนึ่งเนื่องจากตรวจพบช้าเกินไป มีเพียง 2% เท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอดหลังจากรู้ตัวว่าเป็น 5 ปี อย่างไรก็ดี การผ่าตัดตามด้วยการทำเคมีบำบัดอาจช่วยยืดอัตราการรอดชีวิตได้
ผลศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ คลินิคัล นิวทริชั่น ระบุว่านักวิจัยของของสถาบันคาโรลินสกาได้ติดตามพฤติกรรมการกินของ ชาย-หญิง สุขภาพดีอายุ 45-83 ปี จำนวน 80,000 คนระหว่างปี 1997-2005 โดย 131 คนในจำนวนนี้เป็นมะเร็งตับอ่อน
"คนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด คือ คนที่ดื่มน้ำอัดลม หรือ เครื่องดื่มที่มีน้ำเชื่อมมาก โดยกลุ่มที่บอกว่าดื่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าววันละสองกระป๋อง หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มถึง 90%"
ส่วนคนที่กินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการเติมน้ำตาลลงไปอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 70%
นักวิจัย อธิบายว่า มะเร็งตับอ่อนอาจเกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินมากขึ้น เป็นผลจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญกลูโคส การกินน้ำตาลมาก ๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินมากขึ้น
"เราคิดว่าสาเหตุมาจากอินซูลิน ถ้าเรากินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้น ผลคือ เป็นการกระตุ้นการเติบโตของตับอ่อน ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็ง" ดร.ซูซานนา ลาร์สัน จากสถาบันคาโรลินสกาในสตอกโฮล์ม แจกแจงและเสริมว่า การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญของมะเร็งตับอ่อน














