หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ลิปสติก กับการถูกตีตราจากสังคม

โพสท์โดย Fehumo888


        ภายในกระเป๋าใบโปรดของฉัน สิ่งที่ต้องมีอยู่เสมอเพื่อความอุ่นใจคงจะเป็นปากกา เพื่อใช้จดบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ต้องการ หรือบางครั้งฉันก็ใช้ปากกาวาดภาพอะไรสักอย่างที่ไม่สวยงาม เพียงแต่มันสร้างความสบายใจ ปากกาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างทักษะทางการเรียนของฉันได้อย่างดี แต่รู้อะไรไหม? นอกจากปากกาแล้ว ฉันอยากให้ภายในกระเป๋าใบโปรดใบนี้ มีลิปสติกอีกสักแท่ง ฉันจะไม่บอกว่าปากกาควรจะอยู่คู่กับอะไร แต่ฉันกำลังจะบอกว่า

“ฉันชอบจดบันทึกในระหว่างเรียนมากพอๆ กับการทาลิปสติกที่ริมฝีปากก่อนที่จะออกจากบ้าน”

        หลายคนบอกว่าอย่าทาลิปสติกสีแดงแจ๋อย่างนั้น เดี๋ยวเขาจะหาว่า’แรด’ ซึ่งความหมายโดยตรงของแรดก็คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่ไกล้สูญพันธุ์ แต่เมื่อเราได้ยินคำนี้จากเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งยายจ่อยขาเม้าท์มอยประจำซอย เราก็อาจจะโกรธเคืองกันได้ เพราะในบางที ผู้พูดคงหมายถึง อาการดัดจริต ทำตัวเกินงาม การอ่อยผู้ชาย

        ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวที่ฉันได้ยินจากกแกงค์ผู้สูงวัยในหมู่บ้านที่รวมกลุ่มกัน และพูดถึงลูกหลานคนอื่นๆ ยกเว้นลูกหลานของตัวเอง ระหว่างที่กำลังทำงานอดิเรก (เช่น การสานตอก การตัดรากหอมแดง ) จะสามารถจุดประกายงานเขียนชิ้นนี้ของฉันขึ้นมาได้ จากสิ่งที่ได้ยิน และจับใจความได้ก็คือ การที่เด็กสาวคนหนึ่งจะเรียนไม่จบนั่นก็เป็นเพราะทาปากสีแดงเกินวัย ซึ่งการกระทำนี้จะนำมาสู่การได้ ‘ผัว’

        ฉันว่ามันคงเป็นเรื่องที่เจ๋งดีเหมือนกัน ถ้าเราทาลิปสติกให้หมดสักแท่ง จากนั้นเราก็จะได้คู่ครองสักคนและอาจหมายถึงว่า ถ้าเราเลือกที่จะเป็นผู้ที่มีเรียวปากซีดเซียว เราก็คงจะต้องขึ้นคานไปตลอดชีวิต

ปากกากับลิปสติก สองสิ่งนี้เป็นคู่หูคู่ซี้ของฉันเลยก็ว่าได้ ฉันคุ้นเคย และใช้งานมันบ่อยในทุกๆ วัน

        มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าเราไม่ทำความรู้จักกับเพื่อนของเราให้มากยิ่งขึ้น จากนั้นฉันก็เปิดกระเป๋า และหยิบลิปสติกสีชมพูบานเย็นออกมา ก่อนที่จะกดถ่ายภาพ และหาคำตอบว่า ลิปสติกนั้นร้ายกาจอย่างนั้นจริงหรือ

        ความสวยความงามเป็นสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์มานาน แม้อาจจะไม่ได้จัดอยู่ในปัจจัยสี่อย่าง อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าจะมีผู้หญิงหลายคนยอมประหยัดค่าอาหาร เพื่อที่พวกเธอจะได้ถอย ‘ลิปสติก’แท่งใหม่ เพื่อความอุ่นใจ หรือที่เหล่าบิวตี้บล็อกเกอร์ทั้งหลายบอกกันว่า “ของมันต้องมี”

        ลิปสติก (lipstick) ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ประกอบด้วย น้ำมัน ขี้ผึ้ง และสารให้ความชุ่มชื้น ใช้สำหรับทาที่ริมฝีปาก เพื่อป้องกันไม่ให้แห้งผากจนเกินไป ถ้าจะให้พูดถึงลิปสติก คุณผู้หญิงในปี 2021 หลายคนคงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้จัก และหาซื้อง่าย ร้านโชห่วยหน้าซอยเดี๋ยวนี้มีแทบจะทุกร้าน แบรนด์หรูดูดีก็มีมากมายให้เลือกสรรในห้างสรรพสินค้า แค่เลือกสีที่ใช่ราคาที่ชอบก็เพียงพอ เพราะจุดเด่นของลิปสติกในปัจจุบันนี้ก็คือสีสันที่สวยงามและความถูกใจ

        แทบไม่น่าเชื่อว่า เมื่อ 5000 ปีที่แล้ว ผู้หญิงในที่ราบลุ่มเมโสโปเตเมียรู้จักการทาปาก  หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของอียิปส์ พบว่า บนกระดาษปาปิรุสมีรูปผู้หญิงส่องกระจก และกำลังแต่งแต้มริมฝีปาก การปกป้องริมฝีปากเป็นเหตุผลลำดับแรกในการปกป้องริมฝีปากของยุคโบราณ แต่สิ่งที่ทำให้ลิปสติกยังคงอยู่ และมีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับยุคสมัยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือความพึงพอใจ และความสวยงามของเรียวปาก

ปากแดงอย่างกับโสเภณี ?

        ย้อนกลับไปในยุคกลาง หรือประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 การที่หญิงสาวจะแต่งแต้มริมฝีปากของพวกเธอด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดสีแดงดูจะไม่ง่ายนัก เพราะการทาปากสีแดงเป็นเรื่องของสังคมชั้นสูง ผู้หญิงธรรมดาสามัญที่ทาปากสีแดงจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือเป็นโสเภณีที่ทาปากแดงเพื่อยั่วยวนผู้ชาย การทาปากสีแดงเป็นเรื่องของสังคมชั้นสูงเท่านั้นที่ทำกัน

        จะเห็นได้จากรูป พระนางเจ้าอลิซาเบ็ธที่ 1 ที่มีผิวสีขาวซีดแต่ทาปากสีแดง แต่เมื่อหมดสมัยของพระนาง ลิปสติกก็โดนแบนจากคริสตจักร ‘ลิปสติกสีแดงก็กลายเป็นสัญญลักษณ์ของหญิงชั้นต่ำ’ไปเสียอย่างงั้น 

        นอกจากการทาลิปสติกจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำแล้วนั้น ยังมีเรื่องที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับลิปสติกอีกมากมาย เช่น รัฐสภาอังกฤษเคยผ่านกฎหมายให้ผู้ชายยกเลิกการแต่งงานได้ ถ้าเขาเชื่อว่าตัวเองถูกผู้หญิงล่อลวงให้แต่งงาน ด้วยการทาลิปสติก,ลิปสติกเคยเป็นเรื่องราวของแม่มดหมอผี ลิปสติกเปรียบเสมือนยาเสน่ห์,สหรัฐอเมริกาเกือบมีการออกกฎหมายให้ลิปสติก เป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากกลัวว่าจะมีการวางยาพิษในลิปสติกขณะกำลังจุมพิตกัน

        แม้กระทั่งในวงการภาพยนตร์ ลิปติกยังเป็นส่วนประกอบที่มีประวัติศาสตร์ร่วมมาตั้งแต่ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งตอนนั้นภาพยนตร์ยังคงเป็นสีขาวดำ Sears Roebuck เสนอให้นักแสดงทาปากและแก้มให้เข้มขึ้นด้วยปีกแมลงเต่าทองสีแดงบดละเอียด เพื่อที่จะทำให้สีปากตามธรรมชาตินั้นดูโดดเด่นขึ้นบนแผ่นฟิล์มสีขาวดำ

        ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับลิปสติกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐอเมริกา แต่กลับมีสินค้าตัวเดียวที่ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ ลิปสติก นั่นเอง เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า  “Lipstick Effect”

ลิปสติกสีแดง ตัวแทนแห่งความเซ็กซี่

        ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผลจากกระแสนิยมจากฮอลลีวู้ด ลิปสติกสีแดงกลายเป็นตัวแทนแห่งความเซ็กซี่ ด้วยไอคอนฮอลลีวู้ดอย่าง มาริลีน มอนโรว์, ริต้า เฮย์เวิร์ด และเอวา การ์ดเนอร์ ซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าล้วนแต่ทาปากสีแดงเข้ม นับตั้งแต่นั้นมา 98% ของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มหันมาทาลิปสติกสีแดง

ลิปสติกกับการแสดงออกทางตัวตน

        ในปี 2000 เป็นต้นมา เป็นยุคของความหลากหลายของสีและสูตรต่างๆของลิปสติกอย่างแท้จริง จากการสำรวจผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาใช้จ่ายมากกว่า $ 3500 ดอลลาร์ในช่วงชีวิตของพวกเขา ขณะที่ แบรนด์ KKW x Kylie Cosmetics ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ลิปสติกที่มีตั้งแต่สีนู้ด สีชมพู หรือแม้แต่ตัวเลือกที่แปลกอย่างสีเหลืองหรือสีเขียว ลิปสติกในปัจจุบันกลายเป็นการแสดงออกของตัวเองอย่างแท้จริง

        ประวัติศาสตร์อันยาวนานจากการบดปีกแมลง การทาขี้ผึ้ง มาสู่นวัตกรรสุดล้ำที่มีให้เราได้ใช้ในยุคนี้ ถือว่าผ่านมายาวนาน และน่าแปลกใจทีเดียว ลิปสติกอาจเคยเป็นสิ่งที่ตีตราผู้หญิงในยุคกลาง และอาจเคยถูกมองว่าเป็นวายร้ายที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสังหารผู้คนได้ด้วยการจุมพิต 

        ในทุกวันนี้ลิปสติกกลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตน และมนุษย์ทุกคนทุกเพศสามารถที่จะเลือกสรรสิ่งที่เหมาะสม และสีที่พึงพอใจได้ตามต้องการ ไม่เพียงแต่เป็นการบอกถึงเอกลักษณ์และความชื่นชอบของตัวบุคคลเอง แต่ยังสื่อถึงความเท่าเทียม และไม่มีมนุษย์คนไหนที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นโสเภณี เป็นคนชั้นต่ำ หรือกระทั่งการยั่วยวนผู้ชายเพื่อให้มาแต่งงาน “we are equal And I'll put on my favorite color lipstick with a brilliant smile”

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Fehumo888's profile


โพสท์โดย: Fehumo888
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: Kob Kob
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หรือ 'ลีน่าจัง' คือ'อาม่า' ของเอ็มในชีวิตจริง!?ด่วน! ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ถนนวิภาวดี เด็กนักเรียนเสียชีวิต 25 ราย บาดเจ็บอื้อ! นายกฯ ยื่นมือช่วยค่ารักษา (คลิป)ตชด.กระบี่ รวบหนุ่มใหญ่ เปิดห้องนอนชิล สายชี้เป้าจนท.เคาะห้องรวบตัวยินดีด้วย! หมอสองเซอร์ไพรส์คุกเข่าขอแฟนสาวแต่งงานท่ามกลางหิมะ หรูหราอลังการมากจ่อออกหมายจับ “คนขับรถบัส”เผยเคล็ดลับอายุยืนจากชาวเมืองเคียวทันโกะ!ย้อนภาพ แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ ยืนขายปาท่องโก๋ตลาดนัด สมัยยังไม่รวยองค์หญิงถัง ฉือเสีย (ภรรยาคนเเเรกของผู่เจี๋ย น้องชายผู่อี๋)พีต้าเจอถล่ม โดนทั้งไทย-เทศจวกยับ หลังโพสต์แบนหมูเด้งเรียกสวนสัตว์ว่า 'ข้างถนน'7 ข้อดีของคนที่นิ่ง ๆ และเงียบ ไม่สุงสิงกับใครมาก
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เช็กรายชื่อผู้สูญหาย 23 คน “รถบัสไฟไหม้”นายกฯ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสนักเรียน พร้อมสั่งการเจ้าหน้าที่ดูแลเต็มที่ด่วน! ไฟไหม้รถบัสนักเรียน ถนนวิภาวดี เด็กนักเรียนเสียชีวิต 25 ราย บาดเจ็บอื้อ! นายกฯ ยื่นมือช่วยค่ารักษา (คลิป)หรือ 'ลีน่าจัง' คือ'อาม่า' ของเอ็มในชีวิตจริง!?สีเสื้อมงคลวันหวยออก 1 ตุลาคม 2567 ใส่สีอะไรถึงจะเฮง?"สนธิ ลิ้มฯ" ประกาศลั่น เดินครั้งสุดท้ายในชีวิต ปลุกมวลชนลงถนน ไล่รัฐบาล ปีหน้า
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
อังกฤษประกาศด่วน เตือนพลเมืองห้ามเข้าไทย ชาวเน็ตสงสัยกำลังมีแผนอะไรหรือเปล่าวงการสะเทือน เปิดรายชื่อดาราดังระดับโลก พัวพันปาร์ตี้ฉาวของ ‘ดิดดี้’ โดนขุดคลิปสะท้านวงการจักรพรรดิ​นี​หว่านหรง(พระ​อัครมเหสี)​ เเละ เหวินซิ่ว​(ซูเฟย)พระมเหสี​ ใน​จักรพรรดิ​ผู่อี๋​ ราชวงศ์​ชิง​14 แนวคิดดี ๆ ที่ใช้ได้ผลกับทุกปี
ตั้งกระทู้ใหม่