เปิดเผยตำนาน "ศาลเจ้ายาสุคุนิ" ที่ชาวจีนและชาวเกาหลีเกลียด, โกรธญี่ปุ่น
เอาล่ะ! ใครชอบอ่านความรู้ ไม่เบื่อกับตัวหนังสือก็เข้ามาอ่านกันเน้อ ซึ่งพยายามตัดทอนให้อ่านแบบเข้าใจและกระชับสั้นที่สุด
เนื่องจากในอดีตญี่ปุ่นเคยปิดประเทศไม่คบค้าสมาคมกับชาติตะวันตกยาวนานกว่า 200 ปี แต่เมื่ออิทธิพลทางความคิดตะวันตกแทรกซึมแฝงตัวเข้ามาในวัฒนธรรม อารยธรรมในสังคมญี่ปุ่นเข้า พอในปี พ.ศ. 2401 (ช่วงรัชกาลที่ 4) "พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี" (แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา) ได้นำเรือรบติดอาวุธมาเจรจากดดันให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศในภายหลัง
Commodore_Matthew_Calbraith_Perry_By Wikimedia Commons
จุดเริ่มต้นสนธิสัญญา "คานางาวะ"
เป็นจุดเริ่มต้นที่ "รัฐบาลเอโดะ" ลงนามมีชื่อว่า "สนธิสัญญา คานางาวะ" วันลงสัญญาคือ 31 มี.ค. ปี ค.ศ. 1854 ที่ลงนามคือ "โยโกฮามะ" วันตราคือ วันที่ 21 ก.พ. ปี ค.ศ. 1855 โดยจักรพรรดิโคเม วันมีผลคือวันที่ 31 ก.ย. ปี ค.ศ. 1855
ซึ่งมีผลให้ญี่ปุ่นต้องเปิดเมืองท่าชิโมดะและฮาโกดาเตะ ให้มีการค้าขายกับสหรัฐอเมริกาและจะต้องรับประกันความปลอดภัยของชาวอเมริกันด้วย ถือว่าอเมริกาได้นำเรือรบมาบีบและขู่ญี่ปุ่นให้เปิดประเทศ เพื่อคบค้ากันจนเป็นผลสำเร็จนั่นเอง แต่ญี่ปุ่นไม่ได้ไม่พอใจกับสนธิสัญญานี่หรอกนะ แถมยังต้องทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศตะวันตกอื่นๆตามมาอีก
การเปิดโลกทัศน์ทำให้เกิดการปฎิรูปประเทศญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นเริ่มเปิดโลกทัศน์และติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น จึงพบว่าตัวเองล้าหลังชาติอื่นๆ จึงตัดสินใจปฎิรูปประเทศตนเองอย่างเร่งด่วน สิ่งที่ญี่ปุ่นต้องการคือการสร้างชาติ ทั้ง วิศวกรรม, อุตสาหกรรมหนักและการเกษตร จึงได้ส่งเยาวชนไปศึกษาต่างประเทศเน้นทางด้านวิชาวิศวกรรม เพียงไม่นานก็สามารถสร้างชาติขึ้นมาแบบก้าวกระโดด
การก้าวหน้าที่ทำให้ญี่ปุ่นทันยุคทันสมัยขึ้น
ญี่ปุ่นฉลาดในการสนับสนุนการรับเอาวิทยาการจากประเทศตะวันตกเข้ามา และเร่งรีบจัดการให้ทันสมัยจนกลายเป็นดินแดนที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดดอย่าไม่น่าเชื่อ เมื่อกลายเป็นประเทศแนวหน้าของธุรกิจอุตสาหกรรม สิ่งที่ตามมาก็คือ ทรัพยากร ดินแดน และแรงงาน
ญี่ปุ่นเริ่มสร้างกองทัพและเริ่มจะแข็งข้อ
ญี่ปุ่นต้องการแสวงหาดินแดน ทรัพยากรเพื่อที่จะได้นำมาป้อนโรงงานในประเทศตน จึงได้มีกองทัพญี่ปุ่นที่ถูกขึ้นมาอย่างมหึมา จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความขัดแย้งกับประเทศข้างเคียง ไม่ว่าจะคาบสมุทรเกาหลี ดินแดนของจีนหรือดินแดนบางส่วนของรัสเซีย ก็เล็งไว้ว่าจะไปยึดครอง
กลับมาที่ศาลเจ้ายาสุคุนิ (ศาลเจ้าสันติรัฐ) ว่ามีความเป็นมายังไง
มันคือตำนานและเป็นที่มาอันเป็นประเด็นความขัดแย้ง ความพยาบาทอันเนื่องมาจากสงครามที่ "กองทัพญี่ปุ่น" ไปก่ออาชญากรรมสังหารเพื่อนมนุษย์นับล้านนั่นเอง ศาลเจ้าฯแห่งนี้เป็นศูนย์กลางความขัดแย้งและความบาดหมางระหว่างประเทศที่รุนแรงที่สุดของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
Yasukuni Shrine_By Wikimedia Commons
ศาลเจ้าฯที่เทิดทูนยกย่องทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิต
สงครามที่ญี่ปุ่นก่อขึ้นมาทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็น "ฝ่ายกระทำ" สู้รบแย่งชิงเพื่อจะได้สร้างชาติให้เป็น 1 ดังนั้นชาวญี่ปุ่นยกย่องว่า "การพลีชีพของบรรพบุรุษในทุกสมรภูมิ" จนในปี พ.ศ. 2412 รัฐบาลญี่ปุ่นเลยจัดสร้างศาลเจ้ายาสุคุนิขึ้นมา เพื่อเทิดทูนยกย่องทหารทั้งปวงที่เสียชีวิต ใครก็ตามที่ทำศึกสงครามเพื่อมาตุภูมิจะได้รับเกียรติสูงสุด จะได้รับการบรรจุอัฐิ หรือจารึกชื่อ ณ สถานที่ตรงนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวเป็นการระลึกถึงทหารญี่ปุ่นกว่า 2,466,000 นายที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ในนามของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งเกาหลีและจีนมองญี่ปุ่นว่าเป็น "พวกปีศาจร้าย"
ศาลเจ้าฯ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สงครามญี่ปุ่นที่อุทิศให้กับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกาหลีและจีนมองว่าญี่ปุ่นเป็นพวกปีศาลร้ายก่อสงคราม อาชญากรสงครามที่ไปสังหารประชาชนนับล้าน และไปรุกรานสังหารผู้บริสุทธิ์ที่แสนจะโหดเหี้ยมเกินมนุษย์
ญี่ปุ่นเคยยกทัพไปรุกรานเกาหลีเพื่อยึดครอง
คือการยกกองทัพไปบุกคาบสมุทรเกาหลีถึง 2 ครั้ง
โดยครั้งที่ 1 อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2135-2136 เป้าหมายก็คือยึดครองเกาหลีกรุงเปียงยาง
และครั้งที่ 2 พ.ศ. 2140-2141 ในขณะนั้นคาบสมุทรเกาหลี ยังไม่ได้แบ่งเป็นเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้แบบในปัจจุบันนี้
ความโหดเหี้ยมที่ญี่ปุ่นทำกับประชาชนเกาหลี
1. "การฆ่าเพื่อความสนุก" ไม่ว่าจะเด็ก ผู้หญิง ก็ถูกสังหารทิ้งจากความบ้าคลั่ง ฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยความสนุกคึกคะนอง จนมีผู้เสียชีวิตนับล้านโดยที่ล้วนแต่ไม่มีทางสู้และไม่ได้ขัดขืน
2. "การทำลายดินแดน" ทำให้ดินแดนเกาหลีสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะด้านวัฒนธรรม, เศรษฐกิจ, และสาธารณูปโภค พื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมากเสียหายจนเพาะปลูกไม่ได้
3. "การทำลายศิลปะ" ทำให้งานศิลปะ เครื่องมือ และเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีจำนวนมากถูกยึดและสูญหาย
4. "การทำลายพระราชวัง" สำคัญอย่าง คยองบกกุง, ชางด็อกกุงและชางกย็องกุง ถูกเผาทำลายทิ้ง
5. "การลักพาตัว" ช่างเทคนิคและช่างฝีมือของเกาหลีไปทำงานให้กับพวกตนที่ญี่ปุ่น
6. "การบังคับเปลี่ยนชื่อ" ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อญี่ปุ่น
7. "การห้ามแสดงออก" ไม่ว่าจะห้ามสอนประวัติศาสตร์และมีภาษาเกาหลีในโรงเรียนญี่ปุ่น รวมถึงห้ามแสดงออกทางวัฒนธรรมเกาหลีด้วยถือว่าผิดกฎหมาย
8. "การบังคับ" ผู้ชายเกาหลีจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น
9. "การข่มขืน" ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว 200,000 คน ถูกส่งไปเป็นนางบำเรอกามให้ทหารญี่ปุ่น
จึงทำให้ชาวเกาหลีถูกทรมานแสนสาหัส ต้องหนีตายอพยพไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย..นี่จึงเป็น "รอยแค้น" ที่ชาวเกาหลีไม่เคยลืมเลือนและไม่ขอให้อภัยไง
หันมาดูที่เมืองนานกิงที่แผ่นดินจีนกันบ้าง
ญี่ปุ่นต้องการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of the Sun) ขึ้นโดยการรวบรวมชาติดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงตนให้ได้ทั้งเกาหลีและจีน และเป้าหมายต่อไปที่เคราะห์ร้ายก็คือ "จีนแผ่นดินใหญ่" ช่วงนั้นจีนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ "ฝ่ายโลกเสรี" กับ "ฝ่ายคอมมิวนิสต์" และแม้ญี่ปุ่นจะมีประชากรน้อยกว่า แต่หากภายในของแผ่นดินจีนกลับมาแย่งชิงอำนาจกันเองอีก
แถมไม่พอก็ต้องมารบกับทหารญี่ปุ่นอีก ซึ่งทหารญี่ปุ่นมีศักยภาพเหนือกว่าจีนมากในตอนนั้น ไม่นานญี่ปุ่นก็บุกยึดเมืองนานกิงโดยใช้ระยะเวลาไม่นานนัก (ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2480)
สิ่งที่ญี่ปุ่นทำกับชาวจีนในเมืองนานกิง
1. "การล้างเผ่าพันธุ์" เชลยศึกจีนในเมืองนานกิงมีมากเกินจำนวนทหารญี่ปุ่นจะควบคุม และเป็นการลดจำนวนการดูแล และการให้อาหารที่พักกับพวกเชลยจีน จึงใช้ปฎิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซะเลยจึงมีชื่อที่ว่า (Nanking Massacre) จึงเป็นประวัติศาตร์ที่โลกไม่เคยลืม
2. "การฆ่าหมู่" คือยิงทิ้ง ตัดคอ ให้ได้ถึงวันละ 2,000 คน
3. "การเผาเป็นกลุ่ม" เพราะการฆ่ามันไม่ทันใจชักช้า ก็ใช้น้ำมันราดจุดไฟเผาเป็นกลุ่มซะเลย
4. "การใช้ปืน" กลกราดยิงทิ้ง
5. "การตัดคอ" โดยให้ยืนเรียงหน้ากระดานหน้าหลุม โดยการตัดคอแถวแรกแล้วให้แถวสองผลักลงหลุม จากนั้นแถวที่สองก็มายืนหน้าหลุมแทนต่อไป
6. "การฝังทั้งเป็น" หรือ โยนระเบิดมือใส่ในกลุ่มเชลยคนจีน
7. "การข่มขืน" ผู้หญิงจีนจะถูกทำการข่มขืนอย่างสนุกสนานก่อนแล้วจึงลงมือฆ่าทิ้ง จะไม่เลือกว่า เด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนชรา หรือแม้จะเป็นนักบวช แม่ชี ก็โดนข่มขืนไม่ละเว้น
8. "การทดลองพัฒนาอาวุธเคมีชีวภาพ" โดยเอาชาวเมืองนานกิงเป็น "หนูทดลอง"
9. "การทดลองใช้สารพิษ" นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นทดลองให้สารพิษทุกชนิดกับชาวจีนเพื่อทดสอบจนชาวจีนชายและหญิงตายนับหมื่นราย
10. "การแช่ในน้ำแข็ง" การนำเชลญมาแช่ในน้ำแข็ง เพื่อศึกษาเรื่องเนื้อตายจากความเย็น
11. "การฉีดเชื้อโรค" เข้าไปในร่างกายแล้วเพาะเอาเชื้อมาทดลองหาวัคซีนแก้
Chinese_head,_Nanking_massacre (By Wikimedia Commons)
Heads_of_Chinese_civilians_in_the_Nanjing_Massacre (By Wikimedia Commons)
ตลอดระยะเวลาราว 6 สัปดาห์จึงมีชาวจีนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตจากฝีมือทหารญี่ปุ่นราว 3 แสนคน ทั้งชาย, หญิง, เด็ก, และคนชรา ทำให้นานกิงกลายเป็น "นรกบนดิน"
แล้วใครล่ะที่สั่งให้สังหารหมู่นานกิง
ก็คือผู้บัญชาการของญี่ปุ่นคือ "นายพลโคโซอูฟู" (Kosoufu) จนในวัย 66 ปีก็ได้ถูกตัดสินคดีโดยคณะตุลาการจาก 11 ชาติ ให้ประหารชีวิตโดยการยิงเป้าที่ "ประตูจงฮวาเหมิน"ประตูเมืองแห่งแรกที่เขาเคลื่อนพลทั้งกองทัพเข้ามาย่ำยีคนจีนในนครนานกิงในฐานะ "อาชญากรสงคราม" รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมในการสังหารหมู่อีก 28 คน ที่ได้ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้นเกาหลีและจีน คือชนชาติที่โดนญี่ปุ่นย่ำยี สังหาร นับล้านคน ผูกใจเจ็บต่อการกระทำของกองทัพและรัฐบาลญี่ปุ่นที่ยกย่องบูชา "ยาสุคุนิ" ทำให้ชนรุ่นลูกหลานรังเกียจชาวญี่ปุ่น แต่ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งกลับมองว่าสงครามที่ญี่ปุ่นก่อขึ้น..
เป็นการต่อสู้เป็นการปลดปล่อยเอเชียจากชาตินิยมตะวันตก โดยไม่สนใจการสังหารโหดของกองทัพญี่ปุ่นของตน
ดังนั้นเมื่อใดที่มีข่าวปรากฎว่า นายกญี่ปุ่นและคณะรัฐมนตรีและสมาชิกในคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปเยี่ยม หรือไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ นั่นถือว่าเป็นการเหยียบย้ำหัวใจชาวจีนและชาวเกาหลี รวมทั้งไต้หวันด้วย
แต่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากรวมทั้งผู้นำประเทศ ก็ยังคงยืนหยัดขอแสดงความเคารพต่อญาติที่เสียชีวิตและให้เกียรติทหารผู้เสียชีวิตในสงครามที่ศาลเจ้ายาสุคุนิกันอยู่
มันจึงเป็น "สัญลักษณ์ของความขัดแย้ง ความเจ็บปวด" ที่ส่งผลต่อความรู้สึกของชาวจีนและชาวเกาหลีไปอีกนานแสนนาน
และนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไม ? ชาวจีนหรือชาวเกาหลีจึงเกลียดและชิงชัง "ศาลเจ้ายาสุคุนิ" นั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก : กูลเกิ้ล, วิกิพีเดียร์