กะลาตาเดียว สุดยอดของขลังตั้งแต่กรุงศรี
กะลาตาเดียวนั้นเป็นของขลังที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน หลายคนอาจสงสัยว่า แค่เป็นกะลาตาเดียวจะมีความพิเศษมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเยือนวัดแห่งหนึ่งที่อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี การไปเที่ยวเชิงวัฒนธรรมครั้งนี้ดูเหมือนจะพิเศษกว่าครั้งอื่นๆ เนื่องจากเรื่องกะลาตาเดียว ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้เขียนยิ่งนัก เพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าแค่กะลาตาเดียวจะมีความพิเศษอย่างไร เป็นของขลังได้อย่างไร
จากการพูดคุยกับชาวบ้านระแวกนั้น ได้ความมาว่า โดยปกติแล้วกะลามะพร้าวเกือบทุกลูก ที่ก้นกะลา จะมีตาปรากฏอยู่ 3 ตา แต่หากที่ก้นกะลามะพร้าวลูกไหนนั้นปรากฏแค่ตาเดียว นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ซึ่งคนโบราณเขาก็บอกว่า นานๆทีจะเจอและจะมีพลังแฝงอยู่ในตัวของมัน
ความเชื่อที่แทรกมากับกะลามะพร้าวตาเดียวก็คือ สมัยกรุงศรีอยุธยาหากใครมีมะพร้าวตาเดียว ก็จะนำมาคล้องคอ และใช้ร่วมออกเดินทาง เพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไปได้
บางบ้านก็เชื่อว่า หากนำกะลามะพร้าวตาเดียวมาตักข้าวสารในทุกๆ วัน ที่จะหุง ก็จะทำให้ทุกคนภายในบ้าน อยู่กันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีความอุดมสมบูรณ์ หรือถ้ากะลาตาเดียวได้ไปอยู่กับนักรบ ก็จะพกติดตัวออกไปรบด้วย เพื่อให้ชีวิตยืนยาว ปลอดภัย
นอกจากนี้บางคนก็นำกะลาตาเดียวขึ้นบนหิ้งพระ กราบไหว้ และขอพร
ในปัจจุบันอาจยังมีให้พบเห็นอยู่บ้าง แต่ในแง่ของความเชื่อก็ได้แตกต่างออกไปเพิ่มเติมอีก คือ เชื่อกันว่าควรนำกะลาตาเดียวมาแกะเป็นรูปราหู
การแกะกะลาตาเดียวเป็นรูปราหูจากอดีตถึงปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบคือ แกะเป็นรูปราหูอมจันทร์ และแกะเป็นรูปราหูอมพระอาทิตย์
“กะลาราหูที่มาเป็นคู่มักนิยมเรียกกันว่าตัวผู้ตัวเมียนั้น อันหนึ่งจะเป็นราหูอมจันทร์ และอีกอันจะเป็นราหูอมพระอาทิตย์ หากคู่รักคู่ไหนมีกะลาตาเดียวครบทั้งคู่ ก็จะช่วยเสริมเรื่องความรักให้รักกันมากยิ่งขึ้น”