"Walt Disney" จากศิลปินหนุ่มไส้แห้ง..สู่เจ้าของดิสนีย์ที่ยิ่งใหญ่
รู้หรือไม่! "ดิสนีย์" ที่เป็นแบรนด์โด่งดังมายาวนานจนถึงปัจจุบันนี้ ก่อนที่จะเป็บบริษัทบันเทิงแถวหน้าของโลก มีจุดเริ่มต้นมาจากเด็กหนุ่มที่ชอบการวาดรูป และเติบโตมาจากฟาร์มในฐานะยากจนมาก่อน จนได้รังสรรค์ตัวการ์ตูนที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดอย่าง "มิคกี้ เมาส์" ขึ้นมา
1. ประวัติส่วนตัว
"วอลต์ ดิสนีย์" (Walt Disney) ศิลปินหนุ่มเดิมทีเขามีชื่อว่า "วอลเตอร์" เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1901 เป็นบุตรชายคนที่ 4 ที่มีพื้นเพเดิมจากครอบครัวที่อยู่ในชิคาโก หลังเขาเกิดได้ไม่นาน พ่อแม่ก็เห็นแววว่าเมืองนี้จะกลายเป็นแหล่งอาชญากรรม จึงย้ายไปอาศัยที่เมืองชนบทเล็กๆในรัฐมิสซูรี และได้ทำไร่ทำฟาร์มในเมืองเล็กๆแห่งนี้
2. ชีวิตวัยเด็กในฟาร์ม
เจ้าหนูวอลเตอร์ ในวัยเด็กก็ใช้ชีวิตอยู่ในบรรยากาศแบบฟาร์ม จึงได้สัมผัสชีวิตท่ามกลางสัตว์อย่าง หมู, เป็ด, ไก่, หนู และนกชนิดต่างๆ ทำให้หนูน้อยได้ซึมซับชีวิตของพวกมัน พ่อของหนูน้อยเป็นคนซีเรียส และไม่ค่อยชื่นชมเท่าไหร่ที่เขาชอบเรื่องการวาดรูป และเนื่องจากสมัยนั้นกระดาษและดินสอมีราคาแพงเกินไป ก็ไม่สามารถหาซื้อมาได้ งทำให้บางครั้งหนูน้อยก็ซนไปวาดรูปบนผนังโรงนา, วาดบนกำแพงนอกบ้านแล้วล้างไม่ออก ก็จะโดนพ่อตีจนน่วมเลยทีเดียว
3. ครอบครัวหมดตัว
แต่คนที่สนับสนุนหนูน้อยก็คือป้าและลุงที่เป็นคนใจดี ได้มอบกระดาษและดินสอสีมาให้เขาได้วาดรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อของเขาไม่ค่อยสนับสนุน เพราะมองว่าไร้สาระสู้เอาเวลามาทำงานในฟาร์มดีกว่า จนกระทั้งเกิดภัยธรรมชาติฝนตกหนัก พืชไร่เสียหายสัตว์หลายตัวตายลง ทำให้ครอบครัวมีปัญหา จนถึงขั้นหมดตัวจึงต้องจำเป็นขายฟาร์มเพื่อใช้หนี้
และได้ย้ายไปทำงานในเมืองแทน ณ เมืองแคนซัส ซิตี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมที่มีผู้คนพลุกพล่าน พ่อของเขาก็เลยทำธุรกิจคือการส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้าน โดยใช้แรงงานลูกชาย 2 คนและรวมถึงวอตเตอร์ด้วย
4. ได้เรียน, ได้ทำงาน
เขามีโอกาสได้เรียนวาดรูปที่สถาบันศิลปะแห่งเมืองแคนซัส ทุกเช้าวันเสาร์โดยพ่อของเขายินยอม แต่แลกกับค่าแรงงานที่เขาทำเพื่อเป็นการแลกกัน กับสิ่งที่เขาอยากเรียน เขาได้เจอวิทยากรในศูนย์วิจิตศิลป์แห่งชิคาโก เป็นนักวาดการ์ตูนชื่อดังจากหนังสือพิมพ์ "Chicago Tribune" และได้พาเขาไปเที่ยวสำนักพิมพ์ดูการทำงาน ภายหลังเขาก็ทำงานกับ บก.ของเดอะวอยซ์ (The Voice) โดยเขาทำหน้าที่วาดการ์ตูน, ภาพล้อเลียน หรือการ์ตูนที่มีเนื้อหาการเมืองแฝง
5. ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ แบบไส้แห้ง
เขาได้ทำงานหลายที่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ทำงานกับหน่วยกาชาด หลังสงครามจบก็กลับไปแคนซัส ซิตี้ ไปสมัครงานกับบริษัทแคนซัส ซิตี้ สตาร์ (Kansas City Star) เป็นหนังสือพิมพ์ใหญ่ประจำเมือง แต่ก็ถูกปฎิเสธไม่มีตำแหน่งว่างให้ทำ จากนั้นก็ทำงานกับ Pesman-Rubin Agency บริษัทรับทำงานศิลปะให้กับบริษัทโฆษณาใหญ่อีกทอด
แต่ก็ทำเฉพาะช่วงที่บริษัทมีงานล้นมือเท่านั้น ไม่มีงานก็ไม่ได้จ้างเขาเขาจึงต้องเดินหางานใหม่ จากนั้นก็ไปทำงานรับงานเล็กๆจากร้านค้ารายย่อย ที่ต้องการคนวาดรูปโฆษณาลงหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็ทำให้เขาพอจะหายไส้แห้งไปได้บ้าง
6. ตั้งบริษัทเล็กๆแบบทุลักทุเล
ไปสักพักเขามีเพื่อนสนิทคือ "อั๊บ อายเวิร์กส" (Ub Iwerks) ที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ที่เป็นคนสอนงานให้เขา ก็เริ่มมีแนวคิดจะออกมาตั้งบริษัทเล็กๆขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือเวลารับงาน โดยได้ห้องว่างที่ บก.สำนักพิมพ์ยกให้แต่เป็นห้องน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่เกี่ยงและยินดีด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็ประหยัดค่าเช่าแถมได้ใช้ฟรี
7. เข้าสู่โลกภาพยนตร์การ์ตูน
จากที่ได้รับงานเล็กๆจนกระทั้งอั๊บเพื่อนของเขา ได้เห็นโฆษณาจากบริษัททำหนังโฆษณาที่เปิดรับนักวาดการ์ตูน เขาก็เลยแนะนำให้วอลต์คว้าโอกาสนี้ และนั่นเองเป็นช่วงที่วอลต์ เข้าสู่โลกภาพยนตร์การ์ตูนโลกภาพยนตร์การ์ตูน
8. ได้ทำการ์ตูนสั้นขาย
จนในช่วง ค.ศ. 1895 ก็มีสิ่งประดิษฐ์จากพี่น้องลูเมียร์ (Lumiere) ที่ทำภาพยนตร์ออกมาสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก จนได้เปลี่ยนอุตสาหกรรมบันเทิงในอนาคต ช่วงนั้นเหล่าผู้ผลิตก็ต่างพัฒนาทำผลงานของตัวเองกัน วอลต์และอั๊บก็เช่นกัน เขาได้ลองทำการ์ตูนสั้นไปขาย โดยเรียกว่า “ลาฟ-โอ-แกรม” (Laugh-O-Gram) เมื่อทำออกไปขายปรากฎว่ามีแต่คนชอบ และสั่งซื้อไปขาย จากนั้นก็ลาออกจากงานประจำมาตั้งบริษัทเอง
9. ผลงานประสบความสำเร็จ
จากงานสร้างคือเรื่อง "อลิซในแดนมหัศจรรย์" (Alice In Wonderland) จากนิทานคลาสสิก นำเสนอโดยใช้เด็กเป็นคนแสดงจริง แต่ตัวละครอื่นเป็นการ์ตูน ก็ทำให้ผลงานประสบความสำเร็จในช่วง ค.ศ. 1921 จนทำให้พวกเขามีงานล้นมือ และมีเงินเดือนจ่ายพนักงานที่เคยมาฝึกงานได้
10. เริ่มต้นการ์ตูนตัวใหม่
จนกระทั้งอลิซในแดนมหัศจรรย์ผลิตไปได้ 50 ตอน ในปี ค.ศ. 1927 โดยเด็กที่แสดงก็คือ "แคทริน บัวมองต์" (Kathryn Beaumont) จากนั้นพ่อแม่ของเด็กก็เริ่มเรียกร้องค่าตัวสูงขึ้นก็เลยได้ยุติบทบาทลง อีกทั้งคนดูก็เริ่มเบื่อกับการ์ตูนชุดอลิซฯ แล้วด้วย
จึงได้สร้างตัวการ์ตูนใหม่ขึ้นมา จึงได้เกิดเป็นกระต่าย "ออสวาลด์" (Oswald the Lucky Rabbit) ที่มีลักษณ์คล้ายแมวฟิลิซ์ หรือ Felix th Cat ก็โด่งดังในช่วงเดียวกัน จึงทำให้เจ้ากระต่ายนี้ได้รับความนิยมมากทีเดียว
แต่แล้วตัวละครกระต่ายตัวนี้ก็ถูกลักไปจดลิขสิทธิ์โดย "ชาลี มินท์ซ" (Charles Mintz) สามีของ "มาร์กาเร็ต วิงก์เลอร์" (Margaret J. Winkler) ตัวแทนจำหน่ายของบริษัทซึ่งเขาอยู่ในวงการภาพยนตร์เช่นกัน
11. กำเนิด "มิคกี้ เมาส์"
เขาได้สร้างตัวละครใหม่ขึ้นมาระหว่างที่ขึ้นรถไฟจากนิวยอร์กไปแคลิฟอร์เนีย โดยเขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็น "หนู" และก็รีบร่างลงบนสมุดบันทึกระหว่างการเดินทาง ตอนแรกเขาตั้งชื่อว่า "มอร์ทิเมอร์" (Mortimer) เพราะคล้ายกับชื่อฟาร์มในวัยเด็ก และเมื่อเขาถามภรรยา "ลิเลียน มารี ดิสนีย์" (Lillian Marie Disney) ที่เดินทางมาด้วยกัน
เธอก็บอกว่าชื่อนี้แย่อย่างแรง เธอบอกว่า "มอร์ทิเมอร์ เมาส์" หรือ "มอร์ทิเมอร์" ล้วนออกเสียงยาก ควรเป็นชื่อที่เรียกง่ายๆ เช่น "มิคกี้" เมื่อนั่นจึงเป็นชื่อ "มิคกี้ เมาส์" (Mickey Mouse)
จากนั้นเขาก็รีบกลับไปหาอั๊บเพื่อนสนิทให้ช่วยปรับปรุงตัวมิคกี้ เมาส์ให้มีสีสัน ดูมีชีวิตชีวาขึ้น และปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ เพราะกลัวว่าชาลี จะรู้ข่าวและเอาไปจดลิขสิทธิ์อีก หลังจากนั้น พวกเขาก็พยายามขายตัวละครนี้จนเริ่มขายได้ และเมื่อมีเทคนิคใส่เสียงพูดลงในภาพยนตร์ และเป็น “สตีมโบ๊ต วิลลี่” (Steamboat Willie)
หนังการ์ตูน มิคกี้ เมาส์ เรื่องแรกที่มีเสียงพูด ภายหลังก็เป็นวอลต์ ที่พากย์เสียงมิคกี้ เมาส์ เอง จึงทำให้ตัวการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ได้ถือกำเนิดขึ้น จนโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างที่เราได้เห็นกันมาจนถึงปัจจุบัน
12. เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่
เขาเป็นคนสูบบุหรี่จัดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 สูบแบบไม่มีไส้กรองและสูบไปป์ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม พอช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 1966 เขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอด และรับการรักษาด้วยโคบอลต์บำบัด พอเมื่อวันที่ 30พฤศจิกายน เขารู้สึกไม่สบายและถูกนำโดยรถพยาบาลจากบ้านของเขาไปยังโรงพยาบาลเซนต์โยเซฟ ซึ่งในวันที่ 15 ธันวาคม 1966 อายุ 65 ปี
เขาเสียชีวิตด้วยอาการระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ซึ่งเกิดจากโรคมะเร็ง ณ เบอร์แบงก์ แคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา หลังจากเผาแล้วเถ้ากระดูกก็นำไปฝังไว้ที่ สวนอนุสรณ์ ฟอเรสต์ ลอว์น, เกลนเดล, แคลิฟอร์เนีย (Forest Lawn, Glendale, California)