รู้ไหม? ไอศกรีม กับ ซอฟต์ครีม เหมือนกันแต่แตกต่างกัน?
หลายคนอาจเคยยืนอยู่หน้าตู้ไอศกรีมแล้วเกิดคำถามว่า ไอศกรีม (Ice Cream) ที่ตักเป็นลูกกลมๆ กับ ซอฟต์ครีม (Soft Cream หรือ Soft Serve) ที่กดออกจากเครื่องสดๆ นั้นแตกต่างกันอย่างไร ในเมื่อรสชาติก็คล้ายกัน บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยในเชิงวิทยาศาสตร์อาหารแบบเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณได้เกร็ดความรู้ใหม่ๆ ในการเลือกทานของหวานสุดโปรดครั้งต่อไป
หัวใจหลักที่เหมือนกัน: ส่วนผสมพื้นฐาน ไอศกรีม และซอฟต์ครีม
ก่อนจะไปดูความแตกต่าง เรามาเริ่มจากสิ่งที่เหมือนกันก่อน ทั้งไอศกรีมและซอฟต์ครีมต่างมีส่วนผสมพื้นฐานเดียวกัน นั่นคือ "มิกซ์" (Mix) ซึ่งประกอบไปด้วย:
- นม (Milk): เป็นส่วนประกอบหลักที่ให้ความเหลวและโปรตีน
- ครีม (Cream): เป็นแหล่งไขมันนม (Milk Fat) ที่ให้ความเข้มข้น นุ่มนวล และรสชาติที่หอมมัน
- น้ำตาล (Sugar): ให้ความหวานและช่วยลดจุดเยือกแข็ง ทำให้น้ำไม่กลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด เนื้อสัมผัสจึงไม่กระด้าง
- สารให้ความคงตัว (Stabilizers): เช่น กัวร์กัม (Guar gum) เพื่อช่วยจับน้ำ ป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ และทำให้เนื้อเนียน
แม้จะมีจุดเริ่มต้นเดียวกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญเกิดขึ้นใน "กระบวนการผลิต" ซึ่งสร้างเอกลักษณ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
3 ความลับที่สร้างความแตกต่างระหว่างไอศกรีม และซอฟต์ครีม
1. ปริมาณอากาศ (Overrun): ความฟูที่มองไม่เห็น
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือปริมาณอากาศที่ถูกตีเข้าไปในเนื้อไอศกรีมระหว่างกระบวนการปั่นและแช่เยือกแข็ง ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่า "โอเวอร์รัน" (Overrun)
- ไอศกรีม (Ice Cream): มีกระบวนการตีอากาศเข้าไปในปริมาณที่ไม่สูงมากนัก โดยทั่วไปมีค่า Overrun อยู่ที่ประมาณ 50% - 100% หมายความว่าหากมีมิกซ์ 1 ลิตร เมื่อผลิตเสร็จจะได้ไอศกรีมประมาณ 1.5 - 2 ลิตร อากาศที่น้อยกว่านี้ทำให้ไอศกรีมมีเนื้อที่ "แน่น หนัก และเข้มข้น"
- ซอฟต์ครีม (Soft Cream): ถูกผลิตในเครื่องปั่นแบบต่อเนื่องที่ตีอากาศเข้าไปในปริมาณสูงกว่ามาก โดยมีค่า Overrun ได้ตั้งแต่ 80% ไปจนถึงมากกว่า 100% อากาศที่อัดเข้าไปในปริมาณมากนี้เองที่ทำให้ซอฟต์ครีมมีเนื้อสัมผัสที่ "เบา ฟู และนุ่มละมุน" เหมือนชื่อเรียก
งานศึกษาในวารสาร Journal of Dairy Science ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างของไอศกรีมที่ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง ฟองอากาศ และไขมัน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่า Overrun ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้เนื้อสัมผัสของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ
2. อุณหภูมิในการเสิร์ฟ (Serving Temperature): จุดเยือกแข็งแห่งความอร่อย
อุณหภูมิคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าเราจะได้ทานไอศกรีมแบบแข็งหรือแบบนุ่ม
- ไอศกรีม (Ice Cream): หลังจากปั่นเสร็จ จะถูกนำไปผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "การทำให้แข็ง" (Hardening) ในตู้แช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำมาก ประมาณ -25°C ถึง -30°C และเก็บรักษาเพื่อรอจำหน่ายที่อุณหภูมิประมาณ -18°C จึงทำให้ไอศกรีมแข็งตัวและต้องใช้ที่ตัก (Scoop)
- ซอฟต์ครีม (Soft Cream): ไม่ผ่านกระบวนการทำให้แข็ง แต่มันจะถูกแช่และปั่นอยู่ในเครื่องผลิตโดยเฉพาะที่ควบคุมอุณหภูมิให้สูงกว่า อยู่ที่ประมาณ -4°C ถึง -6°C ณ อุณหภูมินี้ ไอศกรีมจะยังไม่แข็งตัวสมบูรณ์ ทำให้มันมีความอ่อนนุ่มพอที่จะกดออกจากเครื่องได้ทันทีเพื่อเสิร์ฟ และนี้คือสิ่งที่เห็นได้ชัดที่ทำให้ ซอฟต์ครีม หรือซอฟต์เสิร์ฟ ในไทยถึงละลายอย่างรวดเร็ว โดยสภาพอากาศประเทศไทยที่ร้อน และการทำซอฟต์ครีมที่มีการใช้อุณหภูมิที่สูงกว่า ไอศกรีม
3. ปริมาณไขมันนม (Milk Fat Content): ตัวกำหนดความเข้มข้น
แม้จะไม่ใช่กฎตายตัวเสมอไป แต่โดยทั่วไปแล้วปริมาณไขมันนมก็เป็นอีกหนึ่งความแตกต่าง
- ไอศกรีม (Ice Cream): ตามมาตรฐานสากล (เช่น FDA ของสหรัฐอเมริกา) มักกำหนดให้ไอศกรีมต้องมีไขมันนมอย่างน้อย 10% เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่ดี
- ซอฟต์ครีม (Soft Cream): มักจะมีปริมาณไขมันนมที่ต่ำกว่า โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 3% - 6% ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เนื้อสัมผัสเบากว่า
สรุปความแตกต่างในตารางเดียว
คุณสมบัติ | ไอศกรีม (Ice Cream) | ซอฟต์ครีม (Soft Cream) |
---|---|---|
ปริมาณอากาศ (Overrun) | ต่ำกว่า (เนื้อแน่น หนัก) | สูงกว่า (เนื้อเบา ฟู นุ่ม) |
อุณหภูมิเสิร์ฟ | ประมาณ -18°C (แข็ง ตักได้) | ประมาณ -4°C ถึง -6°C (นุ่ม กดสด) |
ปริมาณไขมันนม | โดยทั่วไปสูงกว่า (≥10%) | โดยทั่วไปต่ำกว่า (3% - 6%) |
กระบวนการ | ผ่านการทำให้แข็ง (Hardening) | ไม่ผ่านการทำให้แข็ง เสิร์ฟจากเครื่อง |
ครั้งหน้าที่คุณเลือกระหว่างไอศกรีมเนื้อแน่นเต็มคำกับซอฟต์ครีมนุ่มละมุนลิ้น คุณจะเข้าใจถึงเบื้องหลังความรู้และวิทยาศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในของหวานถ้วยโปรด และสามารถเลือกทานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แล้วคุณล่ะ ชอบแบบไหนมากกว่ากัน?















